นักเรียนหญิงลูกครึ่งวัย 15 กรอกยาหวังฆ่าตัวตาย เหตุเพื่อนบูลลี่ว่าอ้วน

นักเรียนหญิงลูกครึ่งวัย 15 กรอกยาหวังฆ่าตัวตาย เหตุเพื่อนบูลลี่ว่าอ้วน

ถูกเพื่อนบูลลี่ว่าอ้วน ทำให้นักเรียนหญิงลูกครึ่งวัย 15 ปี กินยานอนหลับตามด้วยยาแก้ปวด หวังฆ่าตัวตาย แต่เพื่อนร่วมหอช่วยไว้ทัน

เจ้าหน้าที่กู้ภัยพัทลุงเร่งนำนักเรียนหญิง ลูกครึ่งวัย 15 ปี ชั้น ม.4 โรงเรียนแห่งในจังหวัดพัทลุง ส่งโรงพยาบาลพัทลุง จะฆ่าตัวตาย หลังจากเพื่อนร่วมหอแจ้งว่า นักเรียนคนดังกล่าวกินยาเกินขนาด จากการเข้าช่วยเหลือของเจ้าหน้าที่พบว่านักเรียนหญิงยังคงรู้สึกตัวดี แต่รู้สึกชาไปทั้งตัว เนื่องจากไม่ได้ส่งตัวนักเรียนเข้ารับการักษาให้ทันท่วงที 

จากการสอบถามเพื่อนร่วมหอพักทราบว่าปกตินักเรียนลูกครึ่งเป็นคนร่าเริงดี มีรูปร่างอ้วนจึงถูกเพื่อนๆบูลลี่เรียกว่า อีอ้วน,ไอ้อ้วน ,ไอ้ลูกครึ่ง 

จนทำให้เครียดสะสมจากปัญหาอื่นๆที่รุมเร้าเข้ามา ทั้งถูกย้ายหอใหม่ที่คับแคบและอึดอัด มีปัญหาเรื่องเพื่อน ปัญหาเรื่องครู และปัญหาครอบครัว นอกจากนั้นบ่อยครั้งที่เพื่อนล้อ จึงทำให้เสียความรู้สึก จนเก็บกดไม่มีที่พึ่ง ไม่มีเกราะป้องกัน 

น้องลูกครึ่งจึงแก้ปัญหาโดยการร้องไห้ ร้องไห้คนเดียวบ้าง ร้องไห้กับเพื่อนบ้าง แต่ไม่ค่อยระบายความในใจกับใคร จนกระทั่งแก้ปัญหากินยาเกินขนาดหวังฆ่าตัวตายไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่เพื่อนๆช่วยไว้ทัน เพื่อนๆยังเล่าอีกว่าความเครียดจนร้องไห้ของน้องลูกครึ่งมักจะมีตอนอยู่ในห้องเรียน 

ตอนที่อยู่หอจะมีความสุขกว่าแต่ไม่ค่อยพูด ก่อนเกิดเหตุเพื่อน ๆ ร่วมหอสังเกตเห็นว่าน้องลูกครึ่งหายไปเข้าห้องน้ำนานผิดปกติ จึงตามไปดูพบว่าเพื่อนนอนร้องไห้ในห้องน้ำและทราบว่าน้องกินยานอนหลับไป 11 เม็ด ตามด้วยยาพาราแก้ปวดอีก 10 เม็ด จึงไปแจ้งให้ครูเวรทราบ ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีอาการจึงไม่มีการนำส่งโรงพยาบาล จนน้องเริ่มมีอาการชาตามตัว ครูเวรจึงเรียกรถกู้ภัยไปรับดังกล่าว 

อย่างไรก็ตาม สำหรับเด็กนักเรียนรายนี้ จะใช้ชีวิตอยู่กินที่โรงเรียนต้องอยู่ในความดูแลของครูตลอด 24 ชั่วโมง จะต้องใส่ใจกับเด็กให้ทั่วถึงทั้งร่างกายและจิตใจ โดยเฉพาะน้องลูกครึ่งรายดังกล่าวถูกเพื่อนล้อจนร้องไห้ทุกวัน น่าจะมีการแก้ปัญหา ครูควรเป็นเกราะป้องกันให้นักเรียน 

ประกอบกับน้องเคยกินยาฆ่าตัวตายมาแล้ว ทางครูสมควรที่จะจับตาดูแลเป็นพิเศษ ไม่ใช่ปล่อยให้นักเรียนเบิกยานอนหลับและยาแก้ปวดไปไว้ในครอบครองมากมาย เมื่อเกิดอุบัติเหตุกับนักเรียนทางโรงเรียนน่าจะนำส่งด้วยตนเองทันที เพราะเชื่อว่าทางโรงเรียนมียานพาหนะพร้อม ไม่ใช่รอเจ้าหน้าที่กู้ภัย