วาเลนไทน์เงินสะพัด ยอด “แม่วัยรุ่น” โต

วาเลนไทน์เงินสะพัด ยอด “แม่วัยรุ่น” โต

ในขณะที่ประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัย แต่เด็กที่เกิดใหม่เกินครึ่งมาจาก แม่วัยรุ่น ส่วนคนที่พร้อมเลือกที่จะอยู่เป็นโสด แต่งงานช้า หรือไม่มีลูก แล้วประเทศไทยจะเป็นอย่างไรในอนาคต

ผลสำรวจพฤติกรรมการใช้จ่ายช่วงวาเลนไทน์ ปี 2566 ของศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัย หอการค้า ระบุว่าจะมีเม็ดเงินสะพัด 2,389 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 15.5% เรียกว่าคึกคักสุดในรอบ 3 ปีนับตั้งแต่ปี 2563 ที่ประเทศไทยเริ่มมีการระบาดของโรคโควิด-19 โดยกลุ่มตัวอย่าง 49.2% ต้องการจะไปฉลองวาเลนไทน์กับคนรัก ที่ห้างสรรพสินค้า คาเฟ่ และร้านอาหาร จากผลสำรวจนี้

หากรวมกับเม็ดเงินที่นักท่องเที่ยวต่างชาติจะเข้ามาฉลองวาเลนไทน์ในประเทศไทยอีกด้วย เชื่อว่าเป็นส่วนหนึ่งที่จะกระตุ้นให้เศรษฐกิจมีการหมุนเวียนดีขึ้น 

ขณะที่การฉลองวาเลนไทน์ของคู่รักทุกช่วงวัยเลือกการมีเพศสัมพันธ์ประมาณ 30% เป็นกลุ่มนักศึกษามากสุด 

รองลงมา คือกลุ่มวัยทำงานและนักเรียน โดยใช้หอพัก หรืออพาร์ตเมนต์ ซึ่งกลุ่มที่ตอบคำถามทุกเจน กว่า 70% ยอมรับได้หากคู่แต่งงานเคยมีเพศสัมพันธ์มาก่อน

มีเพียง 29.5% ที่ยอมรับไม่ได้ แสดงให้เห็นว่า “ค่านิยม” บางอย่างกำลังเปลี่ยนไป ยิ่งเห็นตัวเลข “แม่วัยรุ่น” ของสำนักอนามัยการเจริญพันธุ์

กรมอนามัย พบว่ากลุ่มนักเรียนนักศึกษาในระบบโรงเรียนท้องเพิ่มขึ้น โดยปี 2564 คิดเป็น 47.5% เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ที่มีเพียง 28%  และแม่วัยรุ่นที่คลอดแล้วในปี 2564 อยู่บ้านเลี้ยงลูกถึง 52.6% โดยไม่เรียนต่อ ซึ่งปัจจุบันสถานศึกษาหลายแห่งอนุโลมให้เรียนต่อที่เดิมได้แล้ว

ที่น่าเป็นห่วงพบว่าเยาวชนอายุ 15-24 ปีเป็น “โรคซิฟิลิส” อัตราป่วยเพิ่มขึ้นเป็น 50.5 ต่อแสนประชากร ในปี 2564 จากที่ปี  2561 ป่วยเพียง 27.9 ต่อแสนประชากร เพราะไม่ใช้ถุงยางอนามัยขณะมีเพศสัมพันธ์ ทำให้เกิดปัญหาท้องในวัยรุ่น ทำแท้งไม่ปลอดภัย

ล่าสุดสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้ทำโครงการ "เลิฟปัง รักปลอดภัย แก้ปัญหาท้องไม่พร้อม ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์” ‘แจกยาคุมกำเนิด-ถุงยางอนามัย’ และให้หญิงไทยทุกอายุที่จำเป็นต้องยุติการตั้งครรภ์จากภาวะการตั้งครรภ์ที่ไม่พร้อมได้ตามเงื่อนไขของกฎหมาย โดยนำร่องที่ “เมืองพัทยา” ติดตั้งตู้จ่ายถุงยางอนามัยอัตโนมัติ สามารถลงทะเบียนใช้สิทธิบัตรทองผ่านแอป เป๋าตัง รับบริการถุงยางอนามัยและยาคุมกำเนิดได้ 

คำถามคือว่า นโยบายดังกล่าว จะเป็นการแก้ไขปัญหา หรือจะเป็นการส่งเสริมให้มีความสัมพันธ์ทางเพศมากขึ้น  เพราะจากสถิติเด็กที่เกิดใหม่มาจาก “แม่วัยรุ่น” เกินครึ่ง และครึ่งหนึ่งของกลุ่มนี้บอกว่าตั้งใจ “ท้อง” อีกครึ่งบอกไม่ตั้งใจ

ในขณะที่ประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัย แต่เด็กที่เกิดใหม่เกินครึ่งมาจาก แม่วัยรุ่น ส่วนคนที่พร้อมเลือกที่จะอยู่เป็นโสด แต่งงานช้า หรือไม่มีลูก แล้วประเทศไทยจะเป็นอย่างไรในอนาคต เป็นเรื่องที่น่าคิดทุกคนต้องช่วยกันหาคำตอบ  

อะไรคือเหตุผลที่ทำให้พวกเขามีความตั้งใจจะท้อง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจจะต้องเก็บข้อมูลเพิ่มและหาคำตอบเพื่อส่งต่อให้รัฐบาลกำหนดแนวทางในการแก้ไขปัญหา อาจจะกำหนดเป็นวาระแห่งชาติ หรืออะไรก็ตาม แต่ต้องรีบลงมือทำ ไม่งั้นในอนาคตประเทศไทยเราอาจจะไม่มีกำลังคนทำงาน เมื่อไม่มีคนทำงาน ก็จะไม่มีคนเสียภาษีและสุดท้ายจะส่งผลกระทบต่องบประมาณแผ่นดินที่จะนำมาใช้ในการพัฒนาประเทศได้