เวลาสร้างความก้าวหน้าหายไปหมด | บวร ปภัสราทร

เวลาสร้างความก้าวหน้าหายไปหมด | บวร ปภัสราทร

อาจเคยสงสัยว่า เวลาสำหรับสร้างความก้าวหน้าให้กับชีวิตหายไปไหนหมด  ถ้าลองวาดภาพที่มีจุดตั้งต้นเริ่มทำการงาน กับจุดมุ่งหมายที่อยากจะก้าวไปให้ถึง

แล้วลากเส้นตรงระหว่างสองจุดนั้น วัดระยะตามแนวเส้นตรงนั้นไว้ ต่อไปให้เพิ่มจุดสักสิบจุดทั้งด้านบนและด้านล่างของเส้นตรงที่วาดไว้นั้น ลองลากเส้นเชื่อมต่อระหว่างจุดตั้งต้นกับจุดปลายทางใหม่ ลากให้เส้นทางต้องผ่านจุดทุกจุดที่วาดเพิ่มขึ้น

แล้ววัดระยะทางรวมตามเส้นทางนั้นไปเทียบกับระยะทางที่เป็นเส้นตรงที่วัดไว้เดิม จะพบว่าระยะทางเพิ่มมากกว่าเดิมมาก เป็นคำตอบว่าอะไรที่ทำให้เวลาที่เราจะใช้ในการสร้างความก้าวหน้าในชีวิตหายไปหมด

คำตอบคือเรากำลังเดินออกนอกเส้นทางที่จะไปสู่ความก้าวหน้าที่คาดหวัง เดินออกนอกเส้นทางไปผ่านจุดต่าง ๆ ที่ไม่ควรจะผ่าน

สรุปตรง ๆได้ว่า ในแต่ละวันเราหมดเวลาไปกับสรรพสิ่งที่ไม่สำคัญกับความก้าวหน้าในชีวิตมากเกินไป

ในยุคนี้มีโอกาสออกนอกเส้นทางสู่ความก้าวหน้ามากกว่าแต่ก่อนมาก วันนี้เราถูกบังคับให้เสพสาระที่ไร้ประโยชน์กับชีวิตจากแทบทุกช่องทางในชีวิตประจำวัน เปิดเครือข่ายสังคมเมื่อไหร่ เจอสาระทั้งที่เป็นประโยชน์ และไร้ประโยชน์

ซึ่งคงทราบแล้วว่าการเสพสาระที่เป็นประโยชน์ สาระที่เป็นความจริงนั้นใช้เวลาสั้นกว่าสาระที่ไร้ประโยชน์ สาระที่ปะปนระหว่างเรื่องจริงเรื่องเท็จมากมายเป็นเท่าตัว ยิ่งเสพเรื่องไร้สาระมากเท่าใด เวลาในการสร้างความก้าวหน้าในชีวิตก็จะลดน้อยถอยลงไปเป็นทวีคูณ เพราะเวลาไปติดกับดักเรื่องไร้สาระ 

ถ้าสังเกตกันดี ๆ อาจพบว่าในยุคที่รอบตัวมีแต่การตะแบงความเท็จให้เป็นความจริง ตะแบงเรื่องมั่วให้กลายเป็นเรื่องที่มีตรรกะ เป็นเช่นนี้มาต่อเนื่องยาวนาน ความคิดอ่านในเรื่องที่เป็นความก้าวหน้าจางหายไปอย่างเห็นได้ชัด

ในแต่ละวันให้พยายามใช้เวลาเดินหน้าสู่ความก้าวหน้าที่คาดหวังให้มากที่สุด โดยไม่เสียเวลาออกนอกเส้นทางไปกับเรื่องที่อยู่ข้างทางที่ไม่ใช่เส้นทางไปสู่ความก้าวหน้าที่ต้องการให้ได้

เวลาไม่น้อยหมดไปกับการบ่นเรื่องรอบตัวที่น่ารำคาญแต่ปัดเป่าให้สูญหายไปไม่ได้ ซึ่งเวลาที่ใช้แสดงความรำคาญ ความไม่ถูกใจนั้นไม่ได้ให้อะไรสักอย่างกับความก้าวหน้าที่เราคาดหวัง ไม่เคยปรากฏว่าพรำ่บ่นเรื่องผู้บริหารด้อยปัญญากันทุกวันทุกเวลายาวนานแปดเก้าปี แล้วทำให้การงานเกิดความก้าวหน้าขึ้นได้เลย

หมดเวลาไปกับการด้อยค่าตนเองว่าทำนั่นก็ไม่ได้ ทำนี่ก็ไม่เก่งเท่าคนอื่น ไม่ต่างไปจากการเดินออกนอกเส้นทางไปจุดนั่นจุดนี้ ยิ่งด้อยค่าตนเองมากก็ยิ่งเหมือนกับต้องแวะจุดต่าง ๆ นอกเส้นทางมากยิ่งขึ้น แวะไปเรื่องอื่นเพียงเพื่อหาข้ออ้างมาสนับสนุนตนเองให้ยอมปล่อยเวลาผ่านไปโดยไม่มีความก้าวหน้าใด ๆ เกิดขึ้น

พยายามใช้เวลาหาเรื่องที่เราเก่ง แล้วดูว่าความเก่งที่เรามีอยู่ในวันนี้จะใช้สร้างความก้าวหน้าอะไรได้บ้าง

ใช้เวลาแบบนี้จะได้ประโยชน์มากกว่าหมดเวลาไปกับการค้นหาเรื่องที่ไม่เก่ง แล้วเอาเรื่องนั้นเป็นสรณะยึดเหนี่ยวให้อยู่ที่เดิม พร้อมกับหลอกตนเองว่าที่นี่สบายดีแล้ว ที่ไม่ดีนั้นมาจากปัจจัยภายนอก  วันหน้าที่นี่ก็จะดีขึ้นเอง แล้วฉันจะดีไปด้วย

ซึ่งถ้าไปเรียนประวัติศาสตร์ในสถาบันที่สอนประวัติศาสตร์จริง ๆ ไม่ใช่สอนนิทานโบราณจะพบว่ากลุ่มชนที่คิดทำนองนี้ วันนี้พื้นที่ที่เคยอยู่อย่างมั่งคั่งยั่งยืนนั้นกลายเป็นโบราณสถานเพื่อการท่องเที่ยวไปหมดแล้ว

ในทางตรงข้ามหากจริงจังกับอนาคตมากเกินไป กำหนดทุกอย่างในชีวิตว่าวันนั้นฉันต้องเป็นอย่างนั้น เหมือนมียุทธศาสตร์ชีวิตห้าสิบปี  สร้างปฏิทินอนาคตแบบไม่ยืดหยุ่นไร้ทางเลือก  อาจทำให้คิดมากจนไม่กล้าเดินหน้า

จะเดินแต่ละก้าวก็คิดแล้วคิดอีกกลัวว่าก้าวไหนจะพลาดบ้าง หยิบยืมความกังวลสารพัดจากอนาคตมาครุ่นคิดอย่างจริงจังในวันนี้ เวลาที่เหลือสำหรับลงมือเดินหน้ากันจริง ๆ เลยไม่มี อนาคตวางแผนได้ แต่ต้องพร้อมปรับเปลี่ยนด้วย

ให้ท่องคาถาสร้างความสำเร็จว่า  ไม่ว่ารอบตัวจะแย่แค่ไหน ต้องมีเวลาสำหรับสร้างความก้าวหน้าเสมอ

คอลัมน์ ก้าวไกลวิสัยทัศน์

รศ.บวร ปภัสราทร  

นักวิจัย Digital Transformation

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี