ต้องเร่งแก้! '4 วิกฤติสุขภาวะเด็ก' ปี 2569 กระทบพัฒนาการ ความปลอดภัย

ต้องเร่งแก้! '4 วิกฤติสุขภาวะเด็ก' ปี 2569 กระทบพัฒนาการ ความปลอดภัย

เตรียมรับมือ! ปี 2569 เด็กไทยเผชิญ 4 วิกฤติสุขภาวะ สะเทือนพัฒนาการ ความปลอดภัย เร่งทุกภาคส่วนร่วมขับเคลื่อนแนวทางแก้ปัญหา ลดความสูญเสียที่จะเกิดขึ้น

KEY

POINTS

  • สสส. คาดการณ์ 4 วิกฤติสุขภาวะเด็กไทยในปี 2569 ที่จะกระทบต่อพัฒนาการและความปลอดภัย
  • วิกฤติที่ 1 คือปัญหาพัฒนาการเด็กปฐมวัย จากภาวะเด็กเกิดน้อยแต่ต้องเผชิญความยากจนและไม่ได้อยู่กับพ่อแม่
  • วิกฤติที่ 2 คือโรคอ้วนในเด็ก โดยเด็กไทยเกือบ 1 ใน 3 มีภาวะอ้วน เสี่ยงต่อโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs)
  • วิกฤติที่ 3 คือการเข้าถึงการพนันออนไลน์ที่ง่ายเกินไป ทำให้เยาวชนเสี่ยงเป็นหนี้สิน
  • วิกฤติที่ 4 คือความปลอดภัยบนท้องถนน โดยเฉพาะอุบัติเหตุจากรถจักรยานยนต์ที่มีเด็กเสียชีวิตจำนวนมากและสวมหมวกกันน็อกน้อย

ขณะที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับภาวะวิกฤติโครงสร้างประชากร เด็กเกิดน้อยเหลือไม่ถึงปีละ 5 แสนคน  การส่งเสริมให้เด็กเติบโตอย่างมีคุณภาพจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง แต่สภาพความจริงที่เกิดขึ้น พบว่า เด็กไทย 70 % อยู่ในครัวเรือนที่มีรายได้น้อย ระดับยากจน และ 40 % ไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ 

บวกกับสภาพแวดล้อมรอบตัวเด็กก็ไม่ได้เอื้อมากนักในการเติบโตและมีพัฒนาการที่สมวัย และสุ่มเสี่ยงต่อสุขภาวะ ทั้งนี้ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) ระบุว่าในปี 2569 เด็กไทยเผชิญ 4 วิกฤติที่จะกระทบต่อสุขภาวะ

4 วิกฤติกระทบสุขภาวะเด็ก

นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชระไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.)  กล่าวในงาน ThaiHealth Watch 2026 จับตาทิศทางสุขภาพคนไทยปี 2569 ว่า  สุขภาวะเด็กเยาวชนสะท้อนถึงสุขภาวะประเทศเช่นกัน โดยมี 4 ประเด็นสำคัญที่เด็กกำลังเผชิญ คือ 1.พลิกวิกฤติประชากรไทย ด้วยการลงทุนในพัฒนาการตั้งแต่วัยแรกเริ่ม เพราะพัฒนาการเด็กเล็กหรือเด็กปฐมวัย อายุ 0-6 ปี ถือเป็นรากฐานสำคัญที่สุดของชีวิต  ฉะนั้น เมื่อจำนวนเด็กเกิดใหม่ลดน้อยลงทุกปี  จึงต้องใส่ใจสร้างรากฐานการพัฒนาเด็ก
2.อ้วนในเด็กไม่ใช่แค่เรื่องบนจาน แต่คือความเคยชินที่ฝังลึกในบ้านและโรงเรียน จากรายงานแผนที่โรคอ้วนโลกปี 2024 เด็กไทยเกือบ 1 ใน 3 คนมีภาวะอ้วน และเสี่ยงเผชิญกับโรคไม่ติดต่อ(NCDs) กระทบการเรียนและพัฒนาการทางสังคม

3.คลิกแรกสู่หนี้ก้อนโต สร้างภูมิคุ้มกันเยาวชนเท่าทันออนไลน์ การติดตามความเคลื่อนไหวบนสื่อสังคมออนไลน์ช่วง 1 ปีที่ผ่านมา พบว่า บาคาร่า สล็อต และเว็บพนัน มีการเข้าถึงรวมมากกว่า 5 ล้านคน  และ4.ความเสี่ยงที่ผู้ใหญ่กำลังส่งต่อลูกหลานบนท้องถนน  ปี 2567 มีผู้เสียชีวิตจากรถจักรยานยนต์ 14,144 ราย โดยเป็นเด็กเฉลี่ยกว่า 1,300 คนต่อปี  โดยเฉพาะกลุ่มอายุต่ำกว่า 2 ปีที่อุ้มซ้อนท้าย  ขณะที่ผลการสำรวจ เด็กมีการสวมหมวกกันน็อกอยู่ที่ประมาณ 8-16 % เท่านั้น 

ปัจจัยที่นำสู่วิกฤติ

วิกฤติพัฒนาการเนื่องมาจากเด็กมีปัญหาทุพโภชนาการซ้อน กินไม่พอ กินเกิน และขาดสารอาหาร  ,พัฒนาการไม่สมวัย ปี 2567 สัดส่วนเด็กเล็กที่มีพัฒนาการสมวัยอยู่ที่ 79 % ยังต่ำกว่าเป้าที่ 80 % และวงจรเปราะบาง เมื่อเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม บั่นทอนเด็กเล็ก เด็กที่เติบโตในครอบครัวยากจนมีความเสี่ยงสูงต่อการมีพัฒนาการล่าช้า บวกกับโครงสร้างครอบครัวที่เป็นครอบครัวข้ามรุ่น เด็กไม่ได้อาศัยอยู่กับพ่อแม่โดยตรง แต่เติบโตภายใต้การเลี้ยงดูของปู่ย่าตายายหรือญาติผู้ใหญ่รุ่นก่อนหน้า 

แม้จะได้รับความรักแต่มักขาดโอกาสด้านการเรียนรู้และพัฒนาการทักษะอย่างรอบด้าน และไม่สามารถกระตุ้นพัฒนาการเด็กได้อย่างเต็มที่ รวมถึง การใช้สื่อดิจิทัลตั้งแต่อายุน้อย ก็ส่งผลกระทบต่อพัฒนาการเด็กปฐมวัย

ส่วนวิกฤติเด็กอ้วน  จะลุกลามเป็นวิกฤติสุขภาพทำลายกายและใจ เป็นผลมาจากเด็กยุคใหม่โตรอบจังก์ฟู้ด เครื่องดื่มหวาน  บวกกับการติดจอนาน ขยับตัวน้อย ,อาหารที่รับประทานเปลี่ยนจากครัวของบ้านเป็นร้านจานด่วน และการตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของการตลาดและสื่อโฆษณาทำให้ส่งผลต่อพฤติกรรมการกิน 

สำหรับวิกฤติคลิกแรกสู่หนี้ก้อนโต ด้วยการเล่นพนันออนไลน์นั้น เป็นผลจากการที่เข้าถึงง่ายไร้แรงเสียดทานผ่านโทรศัพท์มือถือ ,เครือข่ายพนันออนไลน์โตเร็วเกินหว่ามาตรการรับมือ โดยเมื่อมีการปิดไป 1 เว็บกลับผุดใหม่มาเป็น 10 เว็บ ,เว็บพนันแฝงตัวแนบเนียน อันตรายยิ่งกว่าโฆษณาแฝง  ,ประตูสู่การพนันออนไลน์ง่ายเพียงแค่ค้นหาในกูเกิล และAI ช่วยคิดสร้างกลไกเสพติด ดึงผู้เล่นกลับมาซ้ำไม่รู้จบ

และวิกฤติความปลอดภัยบนถนน มีปัจจัยเสี่ยงเดิมที่สร้างความสูญเสีย คือ การไม่สวมหมวกนิรภัย เข็มขัดนิรภัย เหล้าและกฎจราจร ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงใหม่ คือ การส่งอาหารแบบเดลิเวอรี ผลักดันให้ไรเดอร์บางส่วนตัดสินใจขับขี่ด้วยความเร็วสูงและฝ่าฝืนกฎจราจรเพื่อแข่งกับเวลาในการทำรอบส่ง และการโดยสารด้วยมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่ได้รับความแพร่หลายมากขึ้นในเมืองใหญ่ 

มาตรการยกระดับสุขภาวะเด็กไทย

ที่ผ่านมาสสส.ร่วมกับภาคีดำเนินการเพื่อยกระดับสุขภาวะเด็กไทย ลดผลกระทบจากวิกฤติ 4 เรื่องที่เด็กเผชิญ โดยผลักดันเล่นอิสระในชุมชนเพิ่มขึ้น จากรายงานผลการดำเนินงานส่งเสริมการเล่นอิสระปี 2565-2566 พบว่า เด็กปฐมวัยและวัยประถมศึกษามีความสุขเพิ่มขึ้น มีพัฒนาการตามวัย มีทักษะชีวิต และลดเวลาการใช้หน้าจอมากถึง 21,000 คน

สร้างระบบสุขภาพ แก้ปัญหาเด็กอ้วนผ่านการสร้างต้นแบบโรงเรียนรู้เท่าทันสื่อสุขภาพในหัวข้อ อย่าปล่อยให้เด็กอ้วน (ลดหวาน มัน เค็ม เพิ่มผักและผลไม้) เพื่อสร้างค่านิยมเปลี่ยนพฤติกรรมโภชนาการผ่านกระบวนการออกแบบสื่อสร้างสรรค์การลดอ้วนในเด็ก ผลลัพธ์การดำเนินงานพบว่า นักเรียนสามารถเลือกบริโภคอาหารได้อย่างเหมาะสม สนใจเคลื่อนไหวร่างกายมากขึ้น และน้ำหนักตัวที่ลดลงอย่างเป็นระบบ

ขับเคลื่อนร่างกฎหมายว่าด้วยการกระทำผิดต่อเด็กผ่านสื่อออนไลน์ มุ่งสร้างปัจจัยแวดล้อมที่เอื้อต่อการมีระบบนิเวศสื่อเพื่อสุขภาวะผ่าน ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การกระทำความผิดต่อเด็กผ่านสื่อออนไลน์) ตามที่กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) เสนอ โดยร่างกฎหมายอยู่ระหว่างส่งต่อให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาแก้ไข ก่อนเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาต่อไป

และจัดทำเป้าหมายการขยายผลแลขับเคลื่อนธนาคารหมวกกันน็อกด้วยกองทุนสุขภาพตำบล (สปสช.) โดยหวังผลให้เกิดเป็นธนาคารหมวกกันน็อกในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กต้นแบบร้อยละ 80 จากพื้นที่ดำเนินงานเดิม หรือคิดเป็นจำนวน 2,430 แห่งทั่วประเทศ เพื่อลดความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับเด็กเยาวชนให้ได้มากที่สุด”

4 ภาคส่วนร่วมสร้างสุขภาวะเด็ก

น.ส.ณัฐยา บุญภักดี ผู้อำนวยการสำนักอาวุโส สำนักสนับสนุนสุขภาวะเด็ก เยาวชน และครอบครัว สสส. กล่าวว่า จากบริบทสังคมไทยในปัจจุบัน เด็กและเยาวชนต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงเชิงโครงสร้างที่ซับซ้อน เช่น ความเปราะบางของครอบครัว ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ความรุนแรงในสังคม ปัญหาสิ่งแวดล้อม และการขาดพื้นที่เรียนรู้

สสส. มุ่งมั่นที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ และทุกระดับ ส่งเสริมให้ชุมชนท้องถิ่นเชื่อมโยงกับหน่วยงานต่างๆ ในระดับอำเภอและจังหวัด สู่นโยบายภาพใหญ่ระดับประเทศ เพื่อให้ทุกครอบครัวมีศักยภาพในการเลี้ยงดูเด็กทุกกลุ่มวัยให้มีสุขภาวะ เด็กทุกคนมีโอกาสเติบโตเต็มศักยภาพของตนเอง

“การดูแลปลูกฝังให้เด็กไทยมีสุขภาวะที่ดี แก้ปัญหาวิกฤติที่เด็กต้องเผชิญต้องเกิดขึ้นจากความร่วมมือของทุกภาคส่วน โดยหน่วยงานภาครัฐ ปรับกฎหมายให้พ่อแม่ดูแลลูกได้จริง ส่วนครอบครัว ลดจอ เพิ่มเวลาเล่นให้เด็ก ชวนอ่านนิทาน  ฝ่ายท้องถิ่นส่งเสริมการเล่นอิสระใกล้บ้านไม่เกิน 15 นาที  และที่ทำงานของพ่อแม่ ควรมีนโยบาย Family friendly workplace สำหรับครอบครัว”  น.ส.ณัฐยา กล่าว