17 องค์กร ถกเข้ม 'ลดรักษาที่ไม่จำเป็น-แก้กลไกการเงิน' ทางออกระบบสุขภาพไทย

17 องค์กร ถกเข้ม 'ลดรักษาที่ไม่จำเป็น-แก้กลไกการเงิน' ทางออกระบบสุขภาพไทย

ปิดฉาก! เวที NUC ผนึกพลังทุกภาคส่วน ร่วมวาง “อนาคตการคลังระบบสุขภาพไทย” ถกประเด็น เพิ่มประสิทธิภาพกองทุน กลไกลการเงิน ลดการรักษาที่ไม่จำเป็น เน้นป้องกันก่อนป่วย พัฒนานโยบายสุขภาพเชิงระบบ สู่ความ “ยั่งยืน เป็นธรรม คุ้มค่า”

การเสวนา "SAFE Health Financing and the Way Forward: การเงินการคลังเพื่อระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าและทิศทางสู่อนาคต" จัดขึ้นเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2568 ที่ผ่านมา ในการประชุมวิชาการระดับชาติด้านหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (National UHC Conference : NUC) พ.ศ. 2568 ระหว่างวันที่ 11 - 13 ธ.ค. 2568 โดยความร่วมมือ 17 องค์กรด้านสุขภาพและสาธารณสุขร่วมกันจัดขึ้นเพื่อให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในระบบสาธารณสุขของประเทศ ได้มีส่วนร่วมในการเสนอและขับเคลื่อนยกระดับระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าในประเทศไทย

นพ.เกษม ตั้งเกษมสำราญ ผู้อำนวยการสำนักวิชาการสาธารณสุข สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงความท้าทายของระบบบริการสุขภาพไทยว่า จากบริบทสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป การให้บริการจำเป็นต้องปรับตัวให้เหมาะสมมากขึ้น ขณะเดียวกัน ความแตกต่างของอัตราการจ่ายเงินในแต่ละกองทุนก็เป็นโจทย์สำคัญด้านการบริหารจัดการ เนื่องจากกลไกการจ่ายเงินมีผลต่อพฤติกรรมการให้บริการ หากเป็นระบบเหมาจ่ายรายหัว ผู้ให้บริการมักควบคุมต้นทุนเพื่อลดค่าใช้จ่าย แต่หากเป็นการจ่ายตามบริการ อาจนำไปสู่การให้บริการเกินความจำเป็น โดยเฉพาะบริการที่สร้างรายได้สูง

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

เจาะวิกฤติเงิน "ค่ารักษาพยาบาล" ปัญหาถ้วนหน้า ร.ร.แพทย์จนถึงคลินิก

'AI for Healthcare' คู่หูดูแลสุขภาพให้เหมาะแต่ละบุคคลในปี 2026

ควบคุมค่าใช้จ่ายบุคลากร ยกระดับประสิทธิภาพการบริหาร

สำหรับประเด็นการจัดสรรงบประมาณแบบหักเงินเดือนข้าราชการ ซึ่งถูกมองว่าเป็นสาเหตุให้งบประมาณลดลง นพ.เกษมอธิบายว่า แนวทางดังกล่าวถูกกำหนดไว้ตั้งแต่เริ่มต้นระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เพื่อควบคุมค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร อย่างไรก็ตาม ด้วยความหลากหลายของหน่วยบริการ ทั้งในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข โรงเรียนแพทย์ และโรงพยาบาลเอกชน ทำให้การหักเงินเดือนมีความแตกต่างกันมาก อีกทั้งอัตราการหักเงินเดือนยังเพิ่มขึ้นเร็วกว่างบกองทุน ส่งผลให้เงินคงเหลือหลังหักลดลง แนวคิดหนึ่งคือการแก้ไขกฎหมายเพื่อนำเงินเดือนออกจากระบบดังกล่าว แต่ยอมรับว่าเป็นเรื่องซับซ้อนและอาจก่อให้เกิดผลกระทบตามมาในระยะยาว

นพ.นิธิวัชร์ แสงเรือง รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรไทยสู่สังคมสูงอายุ ประชากรวัยแรงงานที่ลดลง แนวโน้มโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่เพิ่มขึ้น รวมถึงปัจจัยเสี่ยงจากภัยพิบัติ ความขัดแย้งชายแดน และความไม่แน่นอนทางการเมือง ล้วนทำให้เกิดคำถามถึงความยั่งยืนของกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และความสามารถของรัฐบาลในการจัดสรรงบประมาณอย่างต่อเนื่องในอนาคต ปัจจัยเหล่านี้จึงเป็นความท้าทายสำคัญต่อการบริหารกองทุน อย่างไรก็ตาม หลายฝ่ายเห็นว่างบประมาณยังมีความเพียงพอ หากสามารถยกระดับประสิทธิภาพการบริหารจัดการควบคู่กับการพัฒนานโยบายได้อย่างเหมาะสม

“พันธมิตรระบบสุขภาพ” ลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ

อย่างไรก็ตามแม้ที่ผ่านมา สปสช. จะเปิดให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมอยู่แล้ว แต่ในระยะต่อไปจะขยายการมีส่วนร่วมให้มากขึ้น โดยเฉพาะเครือข่ายโรงพยาบาลและประชาชนผู้รับบริการ ผ่านการเพิ่มช่องทางสื่อสารที่ครอบคลุมทุกแพลตฟอร์ม เพื่อส่งเสริมการสื่อสารแบบสองทาง ให้สามารถสะท้อนปัญหาและข้อเสนอแนะได้โดยตรง พร้อมทั้งปรับเนื้อหาและหลักเกณฑ์การจ่ายเงินให้เข้าใจง่ายยิ่งขึ้น เพื่อสร้างความเข้าใจที่ตรงกันในทุกฝ่าย

นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า ความท้าทายของระบบสุขภาพไทยส่วนหนึ่งมาจากค่าใช้จ่ายแฝงที่ไม่ควรเกิดขึ้น ซึ่งมีต้นเหตุจากพฤติกรรมเสี่ยงของประชาชน เช่น ดื่มแล้วขับ ไม่สวมหมวกกันน็อก ภาวะน้ำหนักเกิน และการบริโภคตามกระแสนิยมที่กระทบสุขภาพในระยะยาว ดังนั้น การคืนข้อมูลสุขภาพสู่ระดับท้องถิ่นและตำบล จะช่วยให้ชุมชนเห็นปัญหาและสาเหตุชัดเจน นำไปสู่การออกแบบระบบป้องกันและดูแลสุขภาพภายในพื้นที่ ช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านการรักษาได้ในระยะยาว ซึ่งตัวอย่างจากการลงพื้นที่จังหวัดขอนแก่น พบว่าการชวนผู้สูงอายุในชุมชนออกกำลังกายร่วมกัน และวางระบบดูแลผู้ป่วยภาวะพึ่งพิงหรือผู้ป่วยระยะท้าย หากมีระบบและกระบวนการที่ดีจะช่วยลดค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะการลดจำนวนวันเข้ารับบริการในห้องฉุกเฉินได้อย่างมีนัยสำคัญ

ทั้งนี้ การสร้าง “พันธมิตรระบบสุขภาพ” เป็นกลไกสำคัญในการลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของประเทศ โดย สสส. ร่วมกับภาคประชาสังคมนำร่อง 12 พื้นที่ทั่วประเทศ ในการส่งต่อและใช้ข้อมูลสุขภาพตามบริบทพื้นที่ เพื่อนำไปสู่การป้องกันการเจ็บป่วยและการเสียชีวิต ตัวอย่างเช่น โมเดลธนาคารหมวกกันน็อกเด็ก ที่ช่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการขับขี่ของผู้ปกครองและคนในชุมชน ลดความเสี่ยงอุบัติเหตุและค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาล เช่น การผ่าตัดสมอง ซึ่งปัจจุบันได้ขยายความร่วมมือกับ สปสช. เป็น 3,000 แห่ง ใน 8 จังหวัดเป้าหมาย

ด้าน นพ.สุเทพ เพชรมาก เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า ในฐานะหน่วยงานกำหนดนโยบายและทิศทางระบบสุขภาพ ประเทศไทยมีกรอบธรรมนูญระบบสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ 3 ว่าด้วยระบบสุขภาพที่เป็นธรรม และ พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ ที่มองการดูแลสุขภาพอย่างรอบด้าน โดยเฉพาะมาตรา 12 เรื่องหนังสือแสดงเจตนาล่วงหน้า (Living Will) ซึ่งได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น แม้จะมีความซับซ้อนด้านความเชื่อและสังคม แต่ข้อมูลชี้ว่าค่าใช้จ่ายในช่วง 6 เดือนสุดท้ายของชีวิตมีสัดส่วนสูงถึงราวครึ่งหนึ่งของค่ารักษาทั้งชีวิต

ทั้งนี้ การพัฒนาระบบสุขภาพควรมุ่งเชื่อมโยงข้อมูลผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยประชาชนสามารถเข้าถึงและจัดการข้อมูลผ่าน Thai ID เชื่อมต่อกับโรงพยาบาลและปรับเปลี่ยนข้อมูลได้ตลอดเวลา ซึ่งจะช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตของประชาชน ขณะเดียวกัน ประเด็นการร่วมจ่ายควรพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยต้องพัฒนาระบบพื้นฐานให้เข้มแข็งก่อน ทั้งระบบปฐมภูมิ ระบบส่งต่อ และระบบบริการฉุกเฉิน เพื่อให้การดำเนินนโยบายเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน

พญ.ปิยวรรณ ลิ้มปัญญาเลิศ ผู้อำนวยการสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (สรพ.) กล่าวว่า ความท้าทายของระบบบริการสุขภาพไทยไม่ได้อยู่เพียงแค่งบประมาณที่เพียงพอในระยะยาวเท่านั้น แต่ต้องทำให้ทุกคนเข้าถึงบริการที่มีคุณภาพและความปลอดภัยอย่างเท่าเทียม ภายใต้การใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า หน่วยบริการจึงต้องยึดหลักการควบคุมคุณภาพและความปลอดภัยเป็นหัวใจสำคัญ ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายของระบบในภาพรวม เช่น ลดวันนอนโรงพยาบาล ลดปัญหาเชื้อดื้อยา และลดความสูญเสียที่ไม่จำเป็นซึ่งสามารถป้องกันได้ด้วยระบบคุณภาพ อาทิ การรอคอยที่เกินจำเป็น การผ่าตัดผิด หรือการใช้ยาผิด

ทั้งนี้ การลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นต้องเริ่มจากการยกระดับคุณภาพบริการและความปลอดภัยของผู้ป่วย ผ่านการบูรณาการกระบวนการพัฒนาคุณภาพ มาตรฐาน HA การกำกับดูแลทางคลินิก (Clinical Governance) ควบคู่กับกลไกจูงใจทางการเงิน เมื่อคุณภาพบริการเข้มแข็ง การให้บริการที่ไม่ก่อประโยชน์ (Low-value care) จะลดลงโดยธรรมชาติ และช่วยให้งบประมาณของระบบมีความมั่นคงอย่างยั่งยืน

นพ.เพชร อลิสานันท์ คณะกรรมการอำนวยการโรงพยาบาลกลุ่มสถาบันแพทย์แห่งประเทศไทย (UHosNet) กล่าวว่า จากโครงสร้างประชากรสู่สังคมสูงวัย ขณะที่ค่าบริการสุขภาพเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ระบบต้องเตรียมพร้อมรับมือ โดยเฉพาะเมื่อคนไทยกว่า 60 ล้านคน อยู่ในระบบที่ใช้งบประมาณจากภาษี ได้แก่ กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สวัสดิการข้าราชการ มีเพียงราว 5 ล้านคนอยู่ในระบบประกันสังคมที่ร่วมจ่าย ดังนั้น เพื่อความยั่งยืนของกองทุนจำเป็นต้องใช้งบประมาณอย่างรอบคอบ เน้นเฉพาะบริการที่จำเป็น ใช้อุปกรณ์ เครื่องมือ และห้องปฏิบัติการอย่างสมเหตุสมผล เพื่อลดการตรวจหรือการรักษาที่ซ้ำซ้อนและไม่จำเป็น

นอกจากนี้หากเชื่อมโยงข้อมูลผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์และพัฒนาระบบสารสนเทศให้มีประสิทธิภาพได้ จะช่วยลดภาระงานของบุคลากรและลดค่าใช้จ่ายจากรายการซ้ำซ้อน ขณะเดียวกัน การตรวจสอบการเบิกจ่ายยังเป็นสิ่งจำเป็น โดยผู้กระทำผิดต้องได้รับการลงโทษ ส่วนหน่วยบริการที่ดำเนินการถูกต้องควรได้รับการส่งเสริมและการจ่ายชดเชยที่รวดเร็วขึ้น เพื่อเสริมสภาพคล่อง ทั้งนี้ กระบวนการตรวจสอบควรเป็นระบบเดียวกัน มีมาตรฐานชัดเจน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและสนับสนุนการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ

น.ส.วรรณา แก้วชาติ กรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (ผู้แทนองค์กรเอกชนงานด้านชุมชนแออัด) กล่าวว่า ระบบบริการสุขภาพของไทยมีความเข้มแข็งอยู่แล้ว แต่ควรขยายการเข้าถึงให้ครอบคลุมทุกกลุ่มมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางและคนไร้บ้านในพื้นที่กรุงเทพฯ ซึ่งไม่ได้ต้องการบริการพิเศษ เพียงต้องการความเท่าเทียมในการเข้าถึงบริการสุขภาพอย่างถ้วนหน้า หากสามารถลดช่องว่างเหล่านี้ลงได้ ระบบสุขภาพไทยจะเป็นระบบที่เป็นธรรมสำหรับทุกคนอย่างแท้จริง