คนเสี่ยงทำร้ายตนเองสะสม 156 ราย ประเมินสุขภาพจิตศูนย์พักพิงเหตุไทย-กัมพูชา

สธ.เผยตรวจประเมินสุขภาพจิตคนในศูนย์พักพิงชั่วคราวกว่า 1.3 แสนราย พบเครียดสูงสะสม 1,127 รายเสี่ยงทำร้ายตนเองสะสม 156 ราย ขณะที่เจ้าหน้าที่ 5-7 % เครียดสูง จัดทีมดูแลใกล้ชิดรายบุคคล
เมื่อวันที่ 15 ธ.ค.2568 ที่ กระทรวงสาธารณสุข นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวภายหลังเป็นประธานประชุมศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข กรณีชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า การดูแลสุขภาพจิต มีการคัดกรองประชาชนไปแล้ว 130,605 ราย พบเครียดสูงสะสม 1,127 ราย และเสี่ยงทำร้ายตนเองสะสม 156 ราย คัดกรองบุคลากรทางการแพทย์ 4,675 ราย พบเครียดสูงสะสม 78 ราย ทั้งหมดได้รับการปฐมพยาบาลทางจิตใจ และติดตามอย่างต่อเนื่องจนกว่าอาการจะดีขึ้น
“ขณะนี้มีประชาชนเข้ามาอยู่ศูนย์พักพิงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งสธ.จัดทีมดูแลทั้งด้านการแพทย์และสาธารณสุข หมุนเวียนดูแลตลอด 24 ชั่วโมง มีการจัดกิจกรรมคลายเครียดให้กับประชาชน เฝ้าระวังควบคุมโรคและอนามัยสิ่งแวดล้อม ตรวจสอบคุณภาพน้ำอย่างต่อเนื่อง” นายพัฒนากล่าว
ขณะที่ นพ.เอกชัย เพียรศรีวัชรา รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า มีการตรวจประเมินสุขภาพจิตประชาชนประมาณ 1.3 แสนคน มีประมาณ 1 % หรือราว 1,200 คน พบว่ามีความเครียดสูงและกลุ่มที่อาจจะทำร้ายตัวเองได้ โดยมีทีมดูแลใจ (MCATT)ดูและเป็นรายบุคคลในกลุ่มนี้
กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงในการทำร้ายตัวเองได้มีการส่งต่อให้พบจิตแพทย์ หรือผู้เชี่ยวชาญเพื่อหาทางป้องกันไม่ให้เกิดเหตุนำไปสู่ภาวะที่รุนแรงเกิดขึ้น ส่วนกลุ่มที่มีความเครียดสูงพยายามมีกิจกรรมเป็นรายบุคคลหรือลดความเครียด และมีการเฝ้าระวังเป็นระยะ
ขณะเดียวกันในกลุ่มเจ้าหน้าที่มีการประเมินแล้วราว 4,000 กว่าราย พบว่า 5-7 % มีความเครียดสูง อาจจะเครียดจากการทำงาน กังวลเรื่องสถานการณ์ เป็นห่วงครอบครัวตัวเอง เนื่องจากส่วนใหญ่มีบ้านอยู่ในพื้นที่ ซึ่งสธ.มีการดูแลอย่างใกล้ชิดในการดูแลจิตใจเจ้าหน้าที่ควบคู่กับการทำงาน
มีทีม MCATT และนักจิตวิทยาลงพื้นที่ดูแลเจ้าหน้าที่โดยเฉพาะกลุ่มที่มีความเครียดสูง เปิดพื้นที่พูดคุย ระบายความเครียดให้กับเจ้าหน้าที่ และการลดภาระงานด้วยการจัดเวรอย่างเหมาะสม ปรับระบบเวรไม่ให้ทำงานต่อเนื่องยาวเกินไป มีการสับเปลี่ยนกำลังจากพื้นที่ใกล้เคียงมาเสริมกัน เปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่ได้พักฟื้นร่างกาย จิตใจ และดูแลเรื่องการสื่อสารให้สามารถติดต่อครอบครัวได้สะดวกระหว่างปฏิบัติงาน เพราะหากเจ้าหน้าที่เข้มแข็งระบบสาธารณสุขด่านหน้าก็เข้มแข็ง
นพ.เอกชัย กล่าวด้วยว่า เรื่องการดูแลสุขภาพจิตเมื่อยู่ในศูนย์อพยพ หรือศูนย์พักพิงเป็นเวลานานจะมีความเครียดเกิดขึ้น ทั้งจากการปะทะระหว่าง ไทย-กัมพูชา หรือเป็นห่วงครอบครัว โดยกรมสุขภาพจิตให้คำแนะนำในการดูแลใจตัวเองเมื่ออยู่ในศูนย์พักพิงชั่วคราว ด้วยการพักใจเป็นระยะ ฝึกหายใจออกลึกๆ ช้าๆวันละหลายๆครั้ง 5-10 รอบ โดยหายใจเข้า 4 วินาที กลั้นหายใจ 2 วินาทีแล้วหายใจออก รวมรอบละ 12 วินาที ราว 10 รอบ
จะช่วยคลายเครียดให้ทำทุกครั้งที่รู้สึกใจสั่น เครียดมาก และรักษากิจวัตรประจำวัน ตื่น พัก กิน นอนให้ใกล้เคียงเวลาเดิมจะช่วยลดความเครียด ทำกิจกรรมเบาๆภายในศูนย์ เดินออกกำลัง ยืดเหยียกล้ามเนื้อ อ่านหนังสือ ฟังเพลง ที่สำคัญดื่มน้ำให้พอเพียงวันละ 6-7 แก้ว หรือราว 1.5 ลิตร กินอาหารสุกสะอาด นอนพักให้พอเพียง หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และบุหรี่
เมื่อเครียด อย่าเก็บไว้คนเดียว ให้คุยกับคนใกล้ชิด หรืออาสาสมัคร หรือเจ้าหน้าที่ ซึ่งการระบายความรู้สึกให้เจ้าหน้าที่ทีม MCATT จะช่วยลดความเครียดได้ และพยายามหลีกเลี่ยงการรับข่าวสารบ่อยมากเกินไป เพราะจะทำให้เกิดความเครียด โดยเฉพาะข่าวลือที่ไม่ใช่ความจริง จะกระตุ้นทำให้กลัว
“ถ้านอนไม่หลับต่อเนื่อง วิตกกังวล ร้องไห้อย่างหาสาเหตุไม่ได้ ใจสั่น หงุดหงิด หรือ มีความคิดอยากทำร้ายตัวเอง ให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่หรือทีมสุขภาพจิตที่อยู่ในศูนย์พักพิงชั่วคราว ความเครียดเป็นเรื่องปกติในสถานการณ์แบบนี้ การดูแลใจตัวเอง การพักหายใจ พูดคุยคนรอบข้าง หากไม่สบายใจขอความช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ได้ตลอดเวลา”นพ.เอกชัยกล่าว
ทั้งนี้ ทีมเจ้าหน้าที่ที่เข้าไปดูแลในศูนย์พักพิงชั่วคราวได้มีระบบดูแล จัดกิจกรรมฟื้นฟูจิตใจ ลดความเครียด กิจกรรมกลุ่ม ออกกำลังกาย ดนตรี กิจกรรมทางศาสนา สร้างพื้นที่เล่นให้กับเด็กเล็ก และกลุ่มเปราะบาง ผู้สูงอายุ ผู้พิการจะมีโซนที่แยกออกมา เพื่อลดความแออัด มีทีมเยี่ยมเป็นรายบุคคลสำหรับผู้เจ็บป่วยเรื้อรังและผู้มีความเครียดสูง







