เริ่มเคลื่อนย้าย 'ผู้ป่วยวิกฤติ' ออกจากรพ.โซนสีชมพูชายแดนไทย-กัมพูชา

สธ.เผยบางรพ.โซนสีชมพูชายแดนไทย-กัมพูชา เริ่มเคลื่อนย้ายผู้ป่วยวิกฤติ รพ.ตราดย้ายแล้ว 50 % ขณะที่ประชาชนเสียชีวิต 12 ราย รับบาดเจ็บ 5 ราย โดย 2 รายโดนสะเก็ดระเบิด พ้นภาวะวิกฤติแล้วยังรักษาในรพ.
เมื่อวันที่ 15 ธ.ค.2568 ที่ ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รมว.สาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ถึงการดูแลด้านการแพทย์และสาธารณสุขใน สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า มีการเตรียมแผนปฏิบัติการเตรียมพร้อมหากสถานการณ์มีความรุนแรงมากขึ้น โดยยังมีรพ.ในพื้นที่โซนสีแดง ปิดชั่วคราวจํานวน 12 แห่งเท่าเดิม สำหรับผู้ป่วยที่มีนัดจำเป็นต้องรับการรักษา จะประสานรพ.ใกล้เคียง แต่ด้วยภาวะเช่นนี้ ความสะดวกสบายอาจต้องปรับเปลี่ยน
ส่วนประชาชนที่ศูนย์อพยพ สธ.จัดทีมที่เกี่ยวข้องไปดูแล เช่น ทีมเฝ้าระวังสอบสวนเคลื่อนที่เร็ว (ทีม SRRT) / ทีม ปฏิบัติการตอบโต้ภาวะฉุกเฉินและสาธารณภัยด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม(ทีม SEHRT) และทีมสหวิชาชีพด้านสุขภาพจิต (ทีม MCATT) เพื่อดูแลประชาชน เนื่องจาก มีความเครียดจากการห่างบ้าน ซึ่งได้หากิจกรรมให้ศูนย์อพยพได้คลายเครียด
นอกจากนี้ ยังมีการดูแลกลุ่มเปราะบางเพิ่มเติม ส่วนโรคระบาดยังไม่พบ สามารถควบคุมได้ และเรื่องสุขอนามัย และน้ำสะอาด โดยสธ.มีทีมเข้าไปตรวจสอบคุณภาพน้ำแล้ว ได้ประสานกับทางทหารถึงความจำเป็นต้องเพิ่มศูนย์อพยพอีกหรือไม่ หากจำเป็นทางกระทรวงสาธารณสุขจะสนับสนุนเต็มที่
“เลือดสำรองยังคงมีอยู่เพียงพอ หากต้องใช้ คาดว่าเพียงพอใน 1 สัปดาห์ แต่ยังสามารถเพิ่มเติมได้ ไม่ติดขัด หวังว่าสถานการณ์ จะไม่ลากยาวกว่านี้ ส่วนการปรับเปลี่ยนหรือเพิ่มเติมอัตรากำลัง มีการวางแผนซักซ้อมเช่นกัน ปัจจุบันยังประคับประคองกันไปได้”นายพัฒนากล่าว
เริ่มย้ายผู้ป่วยวิกฤติในรพ.โซนชมพู
ขณะที่ นพ.เอกชัย เพียรศรีวัชรา รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) กล่าวว่า โรงพยาบาลพื้นที่โซนสีแดง จำนวน 15 แห่ง มี 12 แห่ง ที่ปิดให้บริการชั่วคราว เนื่องจากมีระยะทางห่างจากพื้นที่ชายแดนประมาณ 20 กิโลเมตร ส่วนโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล(รพ.สต.) ปิดชั่วคราว 218 แห่ง
ขณะที่รพ.ที่อยู่ในพื้นที่โซนสีชมพู รัศมีห่างจากชายแดน 50 กิโลเมตร จำนวน 35 แห่ง มีบางแห่งเริ่มเคลื่อนย้ายผู้ป่วยวิกฤติไปอยู่โรงพยาบาลในโซนสีเหลืองสีส้มที่อยู่ห่างจากชายแดน มากขึ้น เช่น รพ.ตราด เบื้องต้นได้ย้ายผู้ป่วยไปแล้วกว่า 50 % อย่างไรก็ตาม มีแผนอพยพที่เตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว รวมถึง มีการซักซ้อมแผนไปแล้วในกรณีที่มีการยกระดับ จําเป็นต้องอพยพผู้ป่วยเพิ่มเติม ซึ่งจะเป็นในส่วนของรพ.ในพื้นที่โซนสีชมพู ส่วนรพ.ในโซนสีเหลือง สีส้ม รัศมีประมาณ 100 แห่ง ที่จะรองรับผู้ป่วยที่จะอพยพมาพร้อมเจ้าหน้าที่บุคลากรนั้น เตียงยังเพียงพอ ทั้งเตียงผู้ป่วยไอซียู ผู้ป่วยวิกฤติตามระดับสี และเตียงผู้ป่วยสามัญ
“ขอยืนยัน หากสถานการณ์มีความรุนแรงเกิดขึ้น ผู้ป่วยทุกคนจะไม่ถูกทิ้งในพื้นที่เสี่ยง ซึ่งทางกระทรวงสาธารณสุขและฝ่ายความมั่นคงได้มีการเตรียมแผนอพยพและเส้นทางในการลําเลียงผู้ป่วยไว้แล้ว”นพ.เอกชัยกล่าว
เสียชีวิต 12 ราย -บาดเจ็บ 5 ราย
สําหรับจํานวนผู้เสียชีวิต ในส่วนของประชาชนทั่วไปยืนยันอย่างเป็นทางการทั้งหมด 12 รายในจํานวนนี้ 1 ราย เป็นผู้เสียชีวิตที่ได้รับผลกระทบโดยตรง จากเหตุการณ์สู้รบชายแดนไทย-กัมพูชา ส่วนอีก 11ราย เป็นผู้เสียชีวิต ทางอ้อม คือ เสียชีวิตระหว่างการอพยพไปยังศูนย์พักพิง 4 ราย และ 7 ราย เป็นผู้เสียชีวิตภายในศูนย์พักพิง โดยทั้งหมดมีโรคประจําตัวร่วมและส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ
ขณะที่มีประชาชนได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา 5 ราย ในจํานวนนี้กลับบ้านแล้ว 3 ราย อีก2 ราย ทีมแพทย์ยังคงต้องดูแลอย่างใกล้ชิดในโรงพยาบาล เบื้องต้น ผู้ป่วยทั้ง 2 รายรู้สึกตัวดี ผ่านภาวะวิกฤติแล้ว หลังจากโดนสะเก็ดระเบิดด้านหลังศีรษะ และแพทย์ได้นําสะเก็ดระเบิดออกไปแล้ว
คนอพยพแล้วกว่า 2.6 แสนราย
ศูนย์พักพิงชั่วคราว 7 จังหวัดชายแดน ไทย-กัมพูชา เบื้องต้นจำนวน 996 แห่ง กว่า 80 % เป็นศูนย์พักพิงชั่วคราวขนาดเล็ก ต่ำกว่า 500 ราย ส่วนที่เหลือมีผู้อพยพตั้งแต่ 1,000 รายขึ้นไป โดยมีเจ้าหน้าที่ดูแลประมาณ 5,000 คน มีผู้อพยพแล้วกว่า 260,000 คน ในจํานวนนี้ 30-40 % เป็นกลุ่มเปราะบาง ส่วนผู้ป่วยในศูนย์พักพิงได้มีการส่งต่อ ไปยังโรงพยาบาลใกล้เคียงแล้ว ประมาณ 633 ราย
ทั้งนี้ กรมควบคุมโรค ได้ส่งทีม SRRT จำนวน 27 ทีม ประจำศูนย์พักพิง พบกลุ่มก้อนผู้ป่วยโรคติดต่อบางเหตุการณ์ เช่น ไข้หวัดใหญ่หรืออุจจาระร่วงในหลายพื้นที่ แต่ผู้ป่วยยังไม่เกินเกณฑ์เฝ้าระวัง มีการดำเนินการสอบสวน ควบคุมโรคและดำเนินการเรื่องสิ่งแวดล้อมเรียบร้อยแล้ว ยังไม่พบการระบาดรุนแรงในศูนย์พักพิง โดยสธ.จะเพิ่มความเข้มงวดในการเฝ้าระวัง สนับสนุนการตรวจยืนยันทางห้องปฏิบัติการ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดอย่างทันท่วงที ทำงานตลอดเวลา







