เศรษฐศาสตร์ยาสูบ ตอน ผู้ก่อความเสียหาย ต้องจ่าย กรณีก้นกรองบุหรี่

เศรษฐศาสตร์ยาสูบ ตอน ผู้ก่อความเสียหาย ต้องจ่าย กรณีก้นกรองบุหรี่

การที่ท่านอธิบดีกรมสรรพสามิต พรชัย ฐีระเวช เปิดเผยแนวทางการขับเคลื่อนตามนโยบายของรัฐบาล Quick Big Win เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2568 ว่า

กรมสรรพสามิตจะเร่งยกระดับบทบาทภารกิจจากหน่วยงานจัดเก็บรายได้ สู่การเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน ทั้งในด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล เป็นสิ่งที่น่ายินดี

ประเด็นสำคัญที่กรมสรรพสามิตพิจารณาคือการปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่ ซิกาแรต เป็นอัตราเดียว (Uniform Tax System) โดยจะเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่ออนุมัติเป็นกฎกระทรวงในเดือนมกราคม 2569

ซึ่งตลอดระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมา อัตราภาษีสรรพสามิตยาสูบ 2 อัตราก่อความเสียหายต่อการจัดเก็บภาษีซึ่งลดน้อยลงกว่าก่อนปี 2560 เป็นอย่างมาก 

ส่งผลให้การยาสูบแห่งประเทศไทยสูญเสียส่วนแบ่งการครองตลาดให้แก่บุหรี่นำเข้าอย่างน่าตกใจ ทั้งๆ ที่ผู้เชี่ยวชาญจากองค์การอนามัยโลก และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ยาสูบในประเทศไทย ต่างพยายามให้ข้อมูลแก่กรมสรรพสามิตและเตือนถึงผลเสียของการจัดทำโครงสร้างภาษีเป็น 2 อัตรามาโดยตลอด

ท่านอธิบดี พรชัย ให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า กรมสรรพสามิตเตรียมมาตรการภาษีอื่นๆ เช่น การขยายฐานภาษีสินค้าที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นมาตรการที่เหมาะสมอย่างยิ่ง ในสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกา มีการใช้มาตรการ “ผู้ก่อความเสียหาย ต้องจ่าย” (Polluter Pays Principle) 

โดยเฉพาะกับบุหรี่ที่มีก้นกรอง เนื่องจากก้นกรองทำมาจาก Cellulose acetate ก่อให้เกิดพลาสติกขนาดจิ๋ว (micro plastic) ซึ่งไม่สามารถย่อยสลายได้ เป็นขยะพลาสติกในสิ่งแวดล้อมอันดับหนึ่ง มีปริมาณสูงถึง 4.5 ล้านล้านชิ้นต่อปี (https://ash.org/plastic-pollution/)

ทำลายสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างมากและเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อมนุษย์และสัตว์ ซึ่งอาจจะถูกกินโดยสัตว์น้ำ หรือสิ่งมีชีวิตอื่นๆ หรือสารเคมีที่เป็นอันตรายจะซึมอยู่ในแม่น้ำ ทะเลสาบ หรือมหาสมุทร ทำให้เกิดการปนเปื้อนในแหล่งน้ำ และแหล่งอาหาร

เครือข่ายพันธมิตรเพื่อยุติมลพิษจากยาสูบ เป็นการรวมตัวขององค์กรด้านสาธารณสุขทั่วโลกในการขับเคลื่อนการบูรณาการระหว่างการควบคุมยาสูบและสุขภาพสิ่งแวดล้อม เพื่อลดขยะพลาสติกจากผลิตภัณฑ์ยาสูบ และเรียกร้องให้บริษัทยาสูบจ่ายค่าเสียหายจากการทำลายสิ่งแวดล้อม 

ในแต่ละปีการดำเนินธุรกิจโดยอุตสาหกรรมยาสูบทิ้งร่องรอยความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมมากมาย ต้นไม้จำนวน 600 ล้านต้นถูกตัด ส่งผลให้เกิดคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่า 80 ล้านตัน อีกทั้งก้นกรองจำนวนมากถูกทิ้งเป็นขยะ (https://exposetobacco.org/news/polluter-pays/)

หลักการ “ผู้ก่อมลพิษ ต้องจ่าย” เป็นหลักการที่ครอบคลุมอยู่ในกฎหมายสิ่งแวดล้อมนานาชาติ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่ายค่าเสียหายจากการทำลายสิ่งแวดล้อม

ในทางปฏิบัติ หมายถึงการจ่ายค่ากำจัดสิ่งปฏิกูลหรือขยะในสิ่งแวดล้อม และต้องจ่ายภาษีพิเศษเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

ความรับผิดชอบเพิ่มเติมสำหรับผู้ผลิต (Extended Producer Responsibility - EPR) เป็นอีกมาตรการหนึ่งที่จะลงโทษอุตสาหกรรมที่ทำลายสิ่งแวดล้อม โดยการที่ให้ผู้ผลิตรับผิดชอบดำเนินการกำจัดปฏิกูลหรือขยะที่เกิดจากผลิตภัณฑ์ เช่น จัดทำมาตรการจัดตั้งกองทุนอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

โดยรัฐบาลจัดเก็บเงินเข้ากองทุนจากบริษัทยาสูบ เป็นค่าดำเนินการกำจัดขยะพลาสติกจิ๋วจากก้นกรองบุหรี่ และความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อม

ที่ผ่านมา ความรับผิดชอบในการกำจัดก้นบุหรี่กลายเป็นภาระของชุมชน และหน่วยงานของรัฐ ซึ่งมีภาระค่าใช้จ่ายทางงบประมาณและกำลังคนในการกำจัดขยะอย่างปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม

ทั้งนี้ รัฐบาลไม่ควรจะต้องนำภาษีจากประชาชนมาใช้ในการกำจัดขยะและสารพิษที่บริษัทยาสูบเป็นผู้ก่อให้เกิดความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อม โดยผู้ผลิตยาสูบไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ

สถานการณ์ปัจจุบันเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะนำหลักการ “ผู้ก่อมลพิษ ต้องจ่าย” มาใช้กับบริษัทยาสูบ รัฐบาลของประเทศต่างๆ สามารถลดขยะจากก้นบุหรี่ด้วยการบังคับใช้ “ภาษีสิ่งแวดล้อม” กับผลิตภัณฑ์ยาสูบ ซึ่งบางประเทศในสหภาพยุโรปเริ่มใช้มาตรการนี้แล้ว

กระทรวงสิ่งแวดล้อมในหลายประเทศของสหภาพยุโรป เช่น เบลเยียมและเนเธอร์แลนด์ ต่างร่างกฎหมายเพื่อควบคุมขยะพลาสติกจากก้นกรองบุหรี่ และสอดคล้องกับการเจรจาร่างสนธิสัญญาควบคุมขยะพลาสติก องค์การสหประชาชาติ

ประเด็นเรื่องสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาอย่างยั่งยืนได้รับการกล่าวถึง ในการประชุม Sustainability Forum 2026 ระหว่างวันที่ 3-4 ธันวาคม 2568 จัดโดยกรุงเทพธุรกิจ

ซึ่งร่าง พระราชบัญญัติอากาศสะอาด เป็นประเด็นหนึ่งที่อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กล่าวถึงจุดเปลี่ยนซึ่งอุตสาหกรรมขนาดใหญ่และบริษัทข้ามชาติจะต้องมีการปรับตัวเพื่อเป้าหมายของการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ

บริษัทยาสูบเป็นหนึ่งในสี่อุตสาหกรรม (สุรา ยาสูบ อาหารแปรรูป และพลังงานจากฟอสซิล) ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับเป้าหมายของการพัฒนาอย่างยั่งยืน

นอกเหนือจากภาษีสรรพสามิตยาสูบและภาษีสิ่งแวดล้อม กรมสรรพสามิตอาจจะใช้กรณีศึกษาจากต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา เรียกเก็บค่าธรรมเนียมรายปีจากบริษัทยาสูบตามส่วนแบ่งการครองตลาด

ในขณะที่สหราชอาณาจักร ขับเคลื่อนการเก็บภาษี ‘กำไร’ (Windfall tax) ซึ่งทั้งสองประเทศใช้หลักการเดียวกันคือ “ผู้ก่อความเสียหาย ต้องจ่าย” 

ปี 2567 นับเป็นปีสำคัญที่โลกได้เห็นการลดอันตรายจากมลภาวะพลาสติก โดยสนธิสัญญาพลาสติกระดับโลกขององค์การสหประชาชาติ ซึ่งต้องเน้นว่าเป็นปัญหาที่ก่อโดยอุตสาหกรรมยาสูบ เนื่องจากก้นกรองบุหรี่มากกว่า 4 ล้านล้านชิ้นเป็นขยะต่อสิ่งแวดล้อมในแต่ละปี

พันธมิตรเพื่อยุติมลพิษจากยาสูบ (Stop Tobacco Pollution Alliance - STPA) ดึงความสนใจของเจ้าหน้าที่รัฐบาล นักรณรงค์เพื่อการควบคุมยาสูบ นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ผู้กำหนดนโยบาย และสาธารณชน ให้เห็นผลกระทบมหาศาลของก้นบุหรี่ต่อสิ่งแวดล้อม

ขอสนับสนุนท่านอธิบดีกรมสรรพสามิต ในการขับเคลื่อนตามนโยบายของรัฐบาล Quick Big Win ด้วยการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตยาสูบเป็นอัตราเดียว และการเก็บภาษีสิ่งแวดล้อมโดยใช้หลักการ “ผู้ก่อความเสียหาย ต้องจ่าย” เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน ทั้งในด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล.