‘ศุภวุฒิ’ เสนอรื้อโครงสร้าง ‘หลักประกันสุขภาพ’ ใช้กองทุนผสมผสาน แทนภาษี100 %

ประธานบอร์ดสภาพัฒน์ เสนอปรับโครงสร้างระบบหลักประกันสุขภาพ ใช้รูปแบบผสมผสาน มี 2 กองทุนหลัก แทนใช้เงินภาษี 100 % เหตุไทยเจอปัญหาสูงวัยมากขึ้น วัยทำงานลด ฐานที่จะเก็บภาษีได้น้อยลง
KEY
POINTS
- ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ เสนอให้ปรับโครงสร้างระบบหลักประกันสุขภาพของไทย จากเดิมที่พึ่งพิงงบประมาณจากภาษีเกือบทั้งหมด ไปสู่ระบบ "กองทุนผสมผสาน"
- แบบผสมผสานมี 2 กองทุนหลัก กองทุนแรกร่วมสมทบ 3 ฝ่าย รัฐ นายจ้าง คนทำงาน ใช้ดูแลสุขภาพ-คืนเงินหลังเกษียณ ,กองทุนที่ 2 รัฐใช้เงินภาษี 100 % ดูแลกรณีพิเศษที่เพิ่มขึ้นจากสิทธิกองทุนแรก
- สาเหตุหลักมาจากปัญหาที่ไทยกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างรวดเร็ว ประชากรวัยทำงานลด ทำให้ฐานที่จะเก็บภาษีได้น้อยลง
เมื่อวันที่ 12 ธ.ค.2568 ที่โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพฯ มีการประชุมวิชาการระดับชาติด้านหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า พ.ศ.2568 ภายใต้หัวข้อ “SAFE financing: การเงินการคลังเพื่อระบบสุขภาพไทยในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง (Ensuring SAFE financing for a resilient healthcare system in transition) จัดโดยกระทรวงสาธารณสุข(สธ.)ร่วมกับภาคีเครือข่ายด้านนโยบายสุขภาพ และหลักประกันสุขภาพ 17 องค์กร
คนไทย 99.5 %เข้าถึงระบบประกันสุขภาพ
ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(บอร์ดสภาพัฒน์) ปาฐกถาพิเศษ “อนาคตประเทศไทย โอกาส ความท้าทาย และความพร้อมของระบบการเงินการคลังสุขภาพ”ว่า ระบบประกันสุขภาพของประเทศไทยนับว่าประสบความสำเร็จอย่างสูงมาก แม้แต่นิตยสาร The Economist (ดิอีโคโนมิสต์) ยังชมว่าแนวทางของไทยน่าจะเป็นแบบอย่างให้ประเทศอื่นในภูมิภาคได้ เนื่องจากเห็นว่าทำให้คนไทย 99.5 % เข้าถึงระบบประกันสุขภาพ
โดยที่รายได้ประชากรต่อหัวมีเพียง 7,000 ดอลลาร์ ซึ่งประมาณ 1 ใน 11 ของรายได้คนอเมริกัน ที่ยังเข้าถึงระบบประกันสุขภาพได้ไม่ดีเท่ากับคนไทย นอกจากนี้ ประเทศไทยยังใช้งบประมาณเรื่องประกันสุขภาพเพียง 6 % ของGDP แม้โควิดระบาด ซึ่งประเทศพัฒนาแล้วใช้งบประมาณ 11-17 % ของ GDP
ดร.ศุภวุฒิ กล่าวอีกว่า ถึงวันนี้ประเทศไทยก็เริ่มมีปัญหาที่ทำให้ระบบต้องมีการเปลี่ยนแปลง อย่างเช่น ประชาการสูงวัยมากขึ้น วัยทำงานมีน้อยลง ฉะนั้น การจะใช้เงินภาษีของประชาชนมาใช้ในเรื่องการดูแลสุขภาพเป็นหลักก็จะทำได้ยากขึ้น ต่างจากในช่วงแรกที่เริ่มมีระบบหลักประกันสุขภาพที่เรารู้ว่าประชาชนมีความสามารถในการใช้จ่ายด้านดูแลสุขภาพได้ต่ำ
ทั้งนี้ ข้อมูลระบุว่า ก่อนที่จะมีระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า มีประชากรที่ต้องใช้เงินเป็นสัดส่วน 10 % ของการบริโภคทั้งหมดอยู่ถึง 6 % ทำให้เกือบหายนะ หลังจากมีระบบหลักประกันสุขภาพฯมาได้ราว 10 ปีจาก 6 เหลือ 2 % ขณะที่ที่ต้องใช้เงินเป็นสัดส่วน 25 % ลดจาก 1.8 % เหลือ 0.4 % และที่เข้าสู่ภาวะยากจนเลย จาก 2.2 % เหลือ 0.3 % จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมช่วงแรกจึงต้องใช้
เผชิญคนแก่มาก คนทำงานน้อย ภาษีลด
ทว่า ปัจจุบันประเทศไทยประสบปัญหาประชากรแก่ตัวอย่างรวดเร็ว จำนวนประชากรสูงวัยจะเพิ่มขึ้นได้อย่างมาก โดยประชากร
- ปี 2568 เด็ก 10.64 ล้านคน วัยทำงาน 41.92 ล้านคน สูงวัย 14.54 ล้านคน
- ปี 2573 เด็ก 9.92 ล้านคน วัยทำงาน 40.11 ล้านคน สูงวัย 17.12 ล้านคน
- ปี 2578 เด็ก 9.15 ล้านคน วัยทำงาน 38.33 ล้านคน สูงวัย 19.10 ล้านคน
- และปี 2583 เด็ก 8.36 ล้านคน วัยทำงาน 36.50 ล้านคน สูงวัย 20.51 ล้านคน
“จะเห็นได้ว่าจำนวนประชากรสูงวัยจะเพิ่มขึ้นจาก 14 กว่าล้านคน จะขึ้นเป็น 20 ล้านคนในอีกราว 15 ปีข้างหน้า ส่วนจำนวนวัยทำงาน จะลดลงประมาณ 5 ล้านคนตั้งแต่ปี 2568-2583 ตรงนี้จะเป็นปัญหาว่าจะมีฐานที่จะเก็บภาษีได้น้อยลง แต่ต้องมาดูแลผู้สูงอายุซึ่งน่าจะเป็นกลุ่มที่ต้องใช้บริการสุขภาพมากที่สุด เพิ่มขึ้นหลายล้านคน”ดร.ศุภวุฒิกล่าว
60-64 ปีสุขภาพดีต้องทำงานต่อไป
ดร.ศุภวุฒิ กล่าวว่า การจะแก้ปัญหาตรงนี้ คำตอบคือต้องทำงานต่อไป โดยกลุ่มอายุ 60-64 ปีน่าจะมีความเหมาะสม ปัจจุบันมี 4.8 ล้านคนจะต้องอยู่ในตลาดแรงงานให้มากกว่านี้ และต้องทำงานในภาคที่มีรายได้มากกว่าภาคเกษตรที่รายได้ต่ำ จะเป็นการแก้ปัญหาเรื่องสูงวัยในประเทศไทยในขั้นแรก แต่จะต้องเป็นกลุ่มที่มีสุขภาพดีเพียงพอที่จะไปทำงานได้ด้วย ซึ่งข้อมูลตอนนี้ อายุคนไทยที่ยังมีสุขภาพดี โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 66-67 ปี
ทั้งนี้ ธนาคารโลกมีการประเมินโดยดูจากการทำให้คนสุขภาพดีโดยวัดจากการลดการเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือโรค NCDs พบว่า การพัฒนาการของไทยเริ่มแผ่วลงไปตั้งแต่ปี 2556 และมีความเสี่ยงที่ประเทศไทยจะไม่ได้ไปถึงเป้าหมายความยั่งยืน SDGs ที่ตั้งเอาไว้ว่าภายในปี 2573 จะลดการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรจากโรค NCDs ให้ลงไป 1 ใน 3 จากปี 2558 จึงสำคัญมากที่จะต้องแก้ปัญหาโรคเหล่านี้ ก็จะนำไปสู่สัดส่วนคนที่มีงานทำและยังอายุมากจะมีสูงขึ้น หวังว่าเมื่อรวมกับการอัปสกิล รีสกิล เงินเดือนคนกลุ่มนี้ก็จะสูงขึ้นด้วย
ปรับโครงสร้างระบบหลักประกันสุขภาพ
สำหรับโครงสร้างของระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า ซึ่งสาระสำคัญรัฐบาลเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายเกือบทั้งหมดจากภาษี และไม่ได้มีเงินสมทบจากประชาชน จึงต้องปรับเปลี่ยนระบบจากแนวคิดเดิมต้องการให้มีประกันสุขภาพถ้วนหน้า โดยประชาชนไม่ต้องจ่ายเงินเลย จะต้องเป็นระบบผสมผสานใน 2 มิติ คือ
1.ที่มีระบบแยก 4 ระบบ คือ หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สวัสดิการข้าราชการ ประกันสังคม และระบบเอกชน ควรจะต้องรวมกันทั้งหมดเป็นระบบเดียว บนหลักการที่ว่าประชาชนคนไทยต้องมีความเท่าเทียมกันในการเข้าถึงระบบประกันสุขภาพ
ส่วนตัวเห็นว่า ระบบผสมผสาน อาจจะต้องมองไปในลักษณะที่ว่า มีการบังคับให้ประชาชนต้องเอาเงินเดือนเข้าไปอยู่ในกองทุนเพื่อประกันสุขภาพ แล้วกองทุนนี้ทั้งรัฐบาลและนายจ้างต้องใส่เข้าไป เหมือนกันระบบประกันสังคม ก็จะมีเงินก้อนตรงนี้ เพื่อที่ประชาชนจะเอาไปใช้ซื้อประกันสุขภาพให้ตัวเองได้ เมื่ออายุ 65 หรือ 70 ปีก็จะมีเงินที่จะจ่ายคืนให้ประชาชนนำไปใช้สำหรับสุขภาพตัวเองได้ด้วย
และ 2.ควรจะต้องมีอีกกองทุนที่รัฐบาลจะใช้สำหรับดูแลกรณีพิเศษที่มีค่าใช้จ่ายเกินกว่าที่ประชาชนเก็บเอาไว้ หรือกรณีที่ประชาชนยากไร้จริงๆ ส่วนนี้จะเป็นกองทุนที่รัฐบาลต้องตั้งขึ้นเองและช่วยประชาชนยามที่ไม่สบายหรือเป็นโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง หรือความผิดปกติเป็นพิเศษ
เร่งระบบป้องกันไม่ให้เป็นโรค
ในที่สุดแล้ว สิ่งที่จะทำได้ดีที่สุด คือ การให้มีการดูแลสุขภาพแบบป้องกันไม่ให้เป็นโรค ไม่ใช่รักษาทุกโรค ดังนั้น เรื่องการตรวจร่างกายเป็นประจำ การมีไลฟ์สไตล์ที่มีสุขภาพดีคงต้องใช้ทรัพยากรของภาครัฐช่วยขับเคลื่อนให้ประชาชนทำสิ่งเหล่านี้ ใช้เทคโนโลยีติดตามสุขภาพประชาชน ซึ่งเทคโนโลยีจะถูกลงไปเรื่อยๆน่าจะเป็นประโยชน์ที่จะทำเรื่องนี้ เพราะจากข้อมูลการเป็นโรคนั้น 80 % เป็นผลจากไลฟ์สไตล์ อีก 20 % เป็นผลมาจากโชคไม่ดี มียีนไม่ดี หรือเหตุการณ์พิเศษที่ทำให้เป็นโรค
“ระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าประสบความสำเร็จอย่างโดดเด่น แต่ในช่วงที่มีปัจจัยใหม่ๆที่มาท้าทาย ก็จะต้องมีการปรับตัว” ดร.ศุภวุฒิกล่าว







