ไทยเผชิญ ' 6 แรงกดดัน'ผลัก 'ค่าใช้จ่ายสุขภาพ' พุ่ง เร่งจัดการสร้างระบบยั่งยืน

ไทยเผชิญ ' 6 แรงกดดัน'ผลัก 'ค่าใช้จ่ายสุขภาพ' พุ่ง  เร่งจัดการสร้างระบบยั่งยืน

วงวิชาการเผย "สถานการณ์การเงินการคลังสุขภาพของไทย” มีความยั่งยืน เหตุสัดส่วนรายจ่ายรวมด้านสุขภาพต่อGDP ลดลงต่ำกว่า 5 %  แต่ “ไม่เพียงพอ” ประชาชนยัง "ร่วมจ่ายก่อนป่วย”สูง ขณะที่เผชิญ 6 แรงกดดันขับเคลื่อนค่าใช้จ่ายระบบสุขภาพ 

KEY

POINTS

  • ประเทศไทยเผชิญ 6 แรงกดดันหลักที่ผลักดันให้ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพสูงขึ้น ประกอบด้วย สังคมสูงวัย, ภาระโรคซ้ำซ้อน, เทคโนโลยีการแพทย์, การเปลี่ยนแปลงนโยบาย, ปัจจัยเศรษฐกิจและสังคม และเหตุการณ์ฉุกเฉิน
  • มีการเสนอใช้หลักการ “SAFE” ซึ่งครอบคลุม 4 มิติ (ความยั่งยืน, ความเพียงพอ, ความเป็นธรรม, ประสิทธิภาพ) เพื่อเป็นแนวทางในการสร้างระบบการเงินการคลังสุขภาพที่ยั่งยืน
  • ระบบยังคงเผชิญความท้าทายด้านความเป็นธรรมและความเหลื่อมล้ำ โดยพบว่ารายจ่ายสุขภาพต่อหัวของสวัสดิการข้าราชการสูงกว่าค่าเฉลี่ยของ 3 ระบบหลักประกันสุขภาพถึง 249%
  • ประชาชนยังมีสัดส่วนการร่วมจ่ายค่ารักษาพยาบาลในระดับที่สูงเกินเป้าหมาย ซึ่งเป็นความท้าทายด้านความเพียงพอของระบบการเงินการคลังสุขภาพ

ระหว่างวันที่ 11–13 ธันวาคม 2568 ที่ โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพฯ  กระทรวงสาธารณสุข(สธ.)ร่วมกับภาคีเครือข่ายด้านนโยบายสุขภาพและหลักประกันสุขภาพ 17 องค์กร จัดการประชุมวิชาการระดับชาติด้านหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า พ.ศ. 2568 ภายใต้หัวข้อ “SAFE financing: การเงินการคลังเพื่อระบบสุขภาพไทยในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง (Ensuring SAFE financing for a resilient healthcare system in transition

 มีวัตถุประสงค์สำคัญ อาทิ การสร้างความเข้าใจเรื่องการเงินการคลังสุขภาพที่ยั่งยืนและเป็นธรรม การเสริมสร้างขีดความสามารถของบุคลากรภาคีเครือข่าย การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์ และการจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อปรับปรุงกลไกการคลังสุขภาพของประเทศ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

ระบบมีความยั่งยืน

ทั้งนี้ มีการนำเสนอ “สถานการณ์การเงินการคลังสุขภาพของไทยตามแนวทาง SAFE financing” ใน 4 มิติ(SAFE) ระบุว่า  1.ด้านความยั่งยืน (sustainability) สัดส่วนรายจ่ายรวมด้านสุขภาพต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(GDP) มีแนวโน้มไม่เกิน 5 % มาตลอด จนกระทั่งช่วงปี 2564-2565 ที่มีโรคโควิด 19 ส่งผลให้ภาระรายจ่ายด้านสุขภาพเพิ่มขึ้น ร่วมกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว  ทำให้เกินเป้าความยั่งยืนไปที่ 5.1 % และ 5.6 % 
ส่วนในปี  2566 สัดส่วนลดลงมาอยู่ที่ 4.6 % ซึ่งยังไม่เกินเป้าหมายความยั่งยืนที่ 5 % ขณะที่รายจ่ายของรัฐบาลด้านสุขภาพต่อรายจ่ายของรัฐบาล นับตั้งแต่ปี 255-2566 ไม่เกินเป้าหมายด้านความยั่งยืนตลอดระยะเวลา 12ปี ที่ ไม่เกิน 20 %

ประชาชนร่วมจ่ายก่อนป่วยสูง

 2.ความเพียงพอ (adequacy) ตัวชี้วัดที่จัดเป็นระดับสีแดง ในเรื่องรายจ่ายนอกภาครัฐด้านสุขภาพต่อรายจ่ายรวมด้านสุขภาพ ในปี 2555-2566 อยู่ระหว่าง 22.2-28.8 %  เกินเป้าหมายที่กำหนดต้องไม่เกิน 20 % มาตลอด แสดงให้เห็นว่าภาคประชาชนมีสัดส่วนการร่วมจ่ายในด้านสุขภาพค่อนข้างสูง  ขณะเดียวกันสัดส่วนการร่วมจ่าย ณ จุดบริการมีแนวโน้มลดลงจาก 12.6 % ในปี 2555 เหลือ 9.8 % ในปี 2566

แสดงให้เห็นว่ากว่าครึ่งของการร่วมจ่ายโดยประชาชน เป็นการร่วมจ่ายก่อนป่วย เช่น ประกันสุขภาพเอกชน ประกันสุขภาพโดยนายจ้าง เป็นต้น ซึ่งมักเป็นการร่วมจ่ายมักเป็นโดยสมัครใจ สอดคล้องกับความสามารถในการจ่ายของประชาชนและไม่น่าจะก่อให้เกิดความยากลำบากทางการเงิน 

รายจ่ายต่อหัวเกินค่าเฉลี่ยถึง 249 %

3.ความเป็นธรรม (fairness) เรื่องการเพิ่มความเป็นธรรมในการจ่ายเงินสมทบระหว่างผู้มีสิทธิในระบบประกันสังคม โดยปรับเพิ่มเพดานเงินเดือนสำหรับการคำนวณเงินสมทบของผู้ประกันตนให้เป็น 7 เท่าของค่าแรงขั้นต่ำ แม้ปัจจุบันเพดานค่าจ้างใหม่สุงสุดที่ 17,500 บาท ที่จะใช้ปี 2569-2571  ยังไม่ถึงระดับเป้าหมาย แต่เป็นการสะท้องเชิงบวกทางนโยบาย  

ส่วนเรื่องความเป็นธรรมของการจ่ายเงินสมทบก่อนใช้บริการ(Prepayment) ระหว่างระบบประกันสุขภาพภาครัฐทั้ง 3 ระบบ ยังไม่ผ่านเป้าหมายความเป็นธรรมเนื่องจากมีเพียงผู้ประกันตนของระบบประกันสังคมที่มีการจ่ายเงินสมทบการใช้บริการ 

ประเด็นเรื่องการระดมทุนจากการร่วมจ่าย ณ จุดบริการ(Copayment at point of service) พบว่า ยังไม่ผ่านเป้าหมายเนื่องจากการร่วมจ่ายนี้ของทั้ง 3 ระบบหลักฯ อาจส่งผลกระทบต่อฐานะทางเศรษฐกิจของครัวเรือนได้

อีกทั้ง เรื่องรายจ่ายสุขภาพต่อหัว ยังไม่ผ่านเป้าหมายที่กำหนดจะต้องมีค่าไม่ต่างจากค่าเฉลี่ยทั้ง 3 ระบบบวก/ลบ 10 %  โดยพบว่าปี  2566 รายจ่ายต่อคนเฉลี่ย 3 ระบบอยู่ที่ 5,286.8 บาท ขณะที่ สวัสดิการข้าราชการมีรายจ่ายต่อคน 18,462.86 บาท ต่างจากค่าเฉลี่ยของ 3 ระบบถึง 249.2 % จากที่ปี 2565 อยู่ที่ 169.7 %

และระบบประกันสุขภาพภาครัฐของไทยยังไม่มีการกำหนดมาตรฐานการจ่ายเงินให้เป็นมาตรฐานเดียวกันและราคาเดียวกันในทุกประเภทและระดับการบริการ ยกเว้น บางรายการที่มีการจ่ายมาตรฐานเดียวกัน เช่น บริการเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤติมีสิทธิทุกที่(UCEP) และบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค

4.ความมีประสิทธิภาพ (efficiency) จากที่กำหนดว่าจะต้องให้ทุกระบบประกันสุขภาพภาครัฐใช้งบประมาณปลายปิด พบว่า  ยังมีความแตกต่างกันในการบริหารงบประมาณ  โดยประกันสุขภาพแห่งชาติมีการใช้ปลายปิด แต่มีการของบฯกลางเพื่อชดเชยค่ารักษาพยาบาลสูงกว่ากรอบงบประมาณ ส่วนสวัสดิการข้าราชการใช้งบฯปลายเปิด ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง 

และเรื่องการให้ระบบประกันสุขภาพภาครัฐทุกระบบใช้อำนาจในการซื้อร่วมกัน  โดยให้มีการต่อรองราคาหรือจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ และอุปกรณ์การแพทย์ ร่วมกันทั้งในระดับกองทุนประเทศ ระดับเขตและระดับจังหวัด โดยสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ มีการจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ร่วมระดับประเทศ แต่ไม่ได้มีการดำเนินการร่วมกับกองทุนอื่น

เผชิญ 6 แรงกดดันรายจ่ายสุขภาพ

ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีการระบุถึง  แรงกดดันของปัจจัยขับเคลื่อนด้านรายจ่ายสุขภาพที่ต้องได้รับการบริหารจัดการเพื่อสร้างความยั่งยืนและลดความเหลื่อมล้ำทางการเงินการคลัง ประกอบด้วย 6 ปัจจัย คือ 1.โครงสร้างประชากร  ที่ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์แล้ว และในปี 2578 คาดว่าจะมีผู้สูงอายุ 30 % ทำให้แนวโน้มการเจ็บป่วยและการใช้บริการสุขภาพมากขึ้น

2.ระบาดวิทยา  ระบบสุขภาพไทยกำลังเผชิญกับภาระโรคซ้ำซ้อน  จากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง(โรคNCDs) โรคติดต่อที่ยังคงมีอยู่ และการบาดเจ็บทางถนน 

3.เทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการแพทย์  มีการนำมาใช้เพื่อยกระดับคุณภาพบริการและผลลัพธ์ทางสุขภาพ แต่ก็สร้างแรงกดดันต่อการเงินการคลังของระบบสุขภาพ หากไม่มีการประเมินความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์และการจัดซื้อเชิงกลยุทธ์ที่เข้มแข็ง 

4.การเปลี่ยนแปลงนโยบายภายใต้ระบบสุขภาพ   ต้องมีการติดตามและเฝ้าระวังการใช้บริการที่มากเกินความจำเป็นและการส่งต่อที่ไม่เหมาะสม ซึ่งก่อให้เกิดความสูญเสียด้านประสิทธิภาพและค่าใช้จ่ายแฝง

5.เศรษฐกิจ สังคม และพฤติกรรมสุขภาพ โดยเศรษฐานะและวิถีชีวิต  ส่งผลต่อพฤติกรรมสุขภาพ มีส่วนสำคัญเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของประเทศ ,ความเครียดและพฤติกรรมเสี่ยง ทำให้ค่าใช้จ่ายในการรักษาเพิ่มขึ้น และความเหลื่อมล้ำทางรายได้และการศึกษา  มีผลต่อโอกาสในการเข้าถึงบริการสุขภาพ ทำให้เข้ารับการรักษาเมื่อโรครุนแรงขึ้น ซึ่งมีต้นทุนสูง

และ6.ปัจจัยภายนอกและเหตุการณ์ฉุกเฉิน 

ชูหลัก "SAFE" ยกระดับหลักประกันสุขภาพ

 ขณะที่ นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รมว.สาธารณสุข กล่าวในการเป็นประธานเปิดการประชุมว่า 

ปัจจุบันระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้ากำลังเผชิญความท้าทายจากหลายปัจจัย ทั้งความมั่นคงทางเศรษฐกิจ เรื่องยา และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปัญหาประชากรสูงวัยของโลกและของไทยที่กำลังเพิ่มขึ้นอย่างมาก ดังนั้น การดูแลสุขภาพประชาชน ทั้งในเชิงป้องกันและการรักษา จะต้องมีประสิทธิภาพ  ซึ่งการบริหารจัดการและวางแผนนโยบาย จะต้องเน้นย้ำหลักการ "SAFE" ในเรื่องความยั่งยืน ,ความเพียงพอ ,ความเป็นธรรม และประสิทธิภาพ

นายพัฒนา ย้ำด้วยว่า  ในสภาวะที่เศรษฐกิจเติบโตอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลมีความสามารถในการขยายการดูแลทั้งในเชิงลึกและเชิงกว้าง พร้อมทั้งนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาใช้ แต่การขยายบริการในวงกว้างจำเป็นต้องมีการพิจารณาถึงความคุ้มค่าและความเหมาะสมของการใช้เทคโนโลยีต่างๆ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด นอกจากนี้ การบริหารจัดการตามหลักธรรมาภิบาลมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการสร้างความยั่งยืนและความเป็นธรรมในระบบ

 อีกทั้ง การลงทุนเพื่อลดภาระงานของบุคลากรด่านหน้าและการเสริมสร้างความมั่นคงแข็งแรงของโรงพยาบาล ซึ่งเป็นแกนหลักในการให้บริการ เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่สามารถละเลยได้ โดยมีนโยบายหลักคือ หมอไม่ล้า ประชาชนไม่รอ โรงพยาบาลต้องมีความแข็งแกร่ง ขณะเดียวกันยังจำเป็น เปิดรับข้อเสนอใหม่ๆ ความคิดใหม่ๆ เทคโนโลยีใหม่ๆ และกระบวนการรักษาใหม่ๆ , การจัดระบบข้อมูลเชิงบัญชีและสถิติให้ทันท่วงที เพื่อนำมาปรับใช้ในอนาคต และการคืนค่าตอบแทนที่เป็นธรรมอย่างไม่ล่าช้า

“เป้าหมายเพื่อยกระดับระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของประเทศให้เกิดความยั่งยืน มีประสิทธิภาพ และเป็นธรรม ให้มั่นใจได้ว่าภายใต้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด ระบบจะยังคงสามารถบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสธ.พร้อมที่จะทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนเพื่อไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”นายพัฒนากล่าว