บอร์ดสปสช. เห็นชอบกำหนดอัตราจ่าย 4 บริการในระบบบัตรทอง

บอร์ดสปสช. เห็นชอบกำหนดอัตราจ่าย 4 บริการในระบบบัตรทอง

บอร์ด สปสช. เห็นชอบ ปรับปรุง-กำหนดอัตราจ่าย 4 บริการ ในระบบบัตรทอง 30 บาท ช่วยประหยัดงบกว่า 30 ล้าน รองรับสิทธิประโยขน์ใหม่ เพิ่มประสิทธิภาพบริการเดิม

นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. 2568 โดยมี นพ.วิชัย โชควิวัฒน กรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุมครั้งนี้ เนื่องจาก นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานบอร์ด สปสช. ติดภารกิจไม่สามารถร่วมประชุม ได้มีมติเห็นชอบรายการอุปกรณ์อวัยวะเทียม และค่าบริการสาธารณสุขในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) 4 บริการ ได้แก่ 1. การปรับปรุงและกำหนดอัตราจ่ายอุปกรณ์แท่งแก้วสำหรับการผ่าตัดเปลี่ยนกระจกตาชั้นใน (DMEK) 2. กำหนดอัตราจ่ายการตรวจคัดกรองโรคกระดูกพรุนในสตรีวัยหมดประจำเดือน 3. กำหนดอัตราจ่ายบริการคัดกรองออทิสติก (Autistic disorder) ด้วยเครื่องมือช่วยวินิจฉัยภาวะออทิสติก (TDAS) และ4. ปรับปรุงอัตราการปลูกถ่ายไต (Kidney transplant) พร้อมมอบให้ สปสช. ดำเนินการต่อทันที

สำหรับรายการอุปกรณ์แท่งแก้วสำหรับการผ่าตัด DMEK จะใช้สำหรับผ่าตัดรักษาผู้ป่วยโรคกระจกตาชั้นหลังผิดปกติที่มีปัญหาการมองเห็นจนรบกวนชีวิตประจำวัน และกลุ่มโรคกระจกตาชั้นหลังผิดปกติ โดย DMEK เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่มาแทนวิธีเดิม หรือ DSAEK ซึ่งการปรับปรุง และกำหนดอัตราจ่ายในครั้งนี้จะทำให้สามารถประหยัดงบประมาณไปได้ประมาณ 3.2 แสนบาท 

ส่วนรายการบริการคัดกรองออทิสติกด้วยเครื่องมือ TDAS เป็นบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค (P&P) ที่เป็นสิทธิประโยชน์ใหม่ในปีงบประมาณ 2569 สำหรับคัดกรองออทิสติกในเด็กอายุ 12 – 60 เดือน ที่ผ่านการตรวจคัดกรองพัฒนาตามวัยด้วยเครื่องมือเฝ้าระวังและส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัย (DSPM) ซึ่งมีเป้าหมายอยู่ที่ 130,580 รายในปีนี้ ซึ่งอัตราจ่ายของบริการดังกล่าวจะอยู่ที่ 700 บาท โดยคาดว่าจะต้องใช้งบประมาณทั้งหมด 91,406,000 บาท 

นพ.จเด็จ กล่าวต่อไปว่า ต่อมารายการตรวจความหนาแน่นของมวลกระดูกโรค เพื่อตรวจภาวะกระดูกพรุนในสตรีวัยหมดประจำเดือน หรือ 60 ปีขึ้นไป ทุก 5 ปี ประมาณ 1 แสนราย โดยการตรวจจะใช้เครื่องมือคำนวณความเสี่ยงการเกิดกระดูกหัก (FRAX) ซึ่งเป็นเครื่องมือหลักในการประเมินความเสี่ยงการเกิดกระดูกหัก และหากพบว่าความเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกสะโพกหักมากกว่าหรือเท่ากับร้อยละ 3 จึงจะพิจารณาตรวจความหนาแน่นมวลกระดูกด้วยเครื่องมือวัดความหนาแน่นของกระดูกด้วยเอกซเรย์สองพลังงาน (DXA) อีกครั้ง

ทั้งนี้ เดิมอัตราการจ่ายของบริการตรวจคัดกรองโรคกระดูกพรุนในสตรีวัยหมดประจำเดือนดังกล่าว มีอัตราการจ่ายอยู่ 2 รายการ คือ 1. Bone mass density: X-rays 1part ราคา 1,000 บาทต่อ Part 

และ2. Bone mass density: X-rays whole body ราคา 2,000 บาทต่อครั้ง โดยได้มีการต่อรองราคาและกำหนดอัตราจ่ายใหม่ ซึ่งรายการ Bone mass density: X-rays 1part จะเหลืออยู่ที่ 400 บาทต่อ part และ Bone mass density: X-rays whole body อยู่ที่ 800 บาทต่อครั้ง รวมแล้วคาดว่าจะใช้งบประมาณทั้งหมด 80,880,000 บาท

ขณะที่รายการปลูกถ่ายไต จะเป็นการปรับปรุงและกำหนดอัตราการจ่ายรวม 4 รายการ ได้แก่ 1. ปรับอัตราจ่ายค่าบริการในการเตรียมตัวก่อนผ่าตัด (Living donor) จากราคา 4 หมื่นบาท เป็น 4.5 หมื่นบาทต่อครั้ง 2. ปรับอัตราจ่ายการเตรียมผู้รับบริจาคก่อนเข้ารับการผ่าตัด (Recipient) จาก 31,300 บาทเป็น 4 หมื่นบาทต่อครั้ง 3. ปรับอัตราจ่ายยากดภูมิคุ้มกัน (KTI) LD คือ หลังผ่าตัด 13 – 24 เดือน จาก 2 หมื่นบาท เป็น 1.8 หมื่นบาทต่อเดือน ส่วนหลังผ่าตัด 25 เดือนขึ้นไปจาก 1.5 หมื่นบาท เป็น 1.3 หมื่นบาทต่อเดือน

เลขาธิการ สปสช. กล่าวอีกว่า 4. กำหนดอัตราจ่ายสำหรับกรณีการถ่ายไตจากผู้บริจาคที่มีชีวิตอยู่ ซึ่งมี 2 วิธี ประกอบด้วย 1. การผ่าตัดด้วยวิธีเปิดหน้าท้อง (Open LD nephrectomy) ในอัตรา 32,800 บาทต่อครั้ง และ 2. การผ่าตัดด้วยเทคนิคส่องกล้อง (Laparoscopic LD nephrectomy) โดยการผ่าตัดด้วยเทคนิคส่องกล้อง จะมีการเจรจาอีกครั้ง เนื่องจากเดิมกำหนดไว้ที่ 4 หมื่นบาท แต่มีข้อมูลใหม่จากสมาคมปลูกถ่ายอวัยวะจึงจะพิจารณากันอีกครั้ง

นอกจากนี้ อีกส่วนที่กำหนดเพิ่มจะเป็นการจ่ายในส่วนโปรโตคอลกรณีไม่มีภาวะแทรกซ้อน คือ 1. Protocol-V ในผู้ป่วย ABOi KT จ่ายแบบเหมาจ่ายในอัตรา 3.72 แสนบาทต่อครั้ง และ 2. Protocol-VI ในผู้ป่วย Thymoglobulin Induction จ่ายแบบเหมาจ่ายในอัตรา 4.12 แสนบาทต่อครั้ง และการจ่ายกรณีการติดเชื้อ Cytomegalovirus (CMV) ได้แก่ 1. CMV prophylaxis เหมาจ่าย 1.8 แสนบาทต่อครั้ง 2. CMV Viremia เหมาจ่าย 4 หมื่นบาทต่อครั้ง และ 3. CMV disease เหมาจ่าย 1.8 แสนบาทต่อครั้ง

สำหรับรายการปลูกถ่ายไตที่มีการปรับปรุงและกำหนดอัตราจ่ายนั้น มีทั้งที่ใช้งบประมาณเพิ่ม และที่ใช้งบประมาณลดลง โดยส่วนที่ลดลงจะเป็นการใช้จ่ายจากกระบวนการจาก 690 ล้านบาท ลดเหลือ 654 ล้านบาท และค่ายากดภูมิลดลงจาก 508 ล้านบาท เหลือ 398 ล้านบาท ส่วนที่เพิ่มขึ้นจะเป็นค่าปลูกถ่ายไตจาก 181 ล้านบาท เป็น 255 ล้านบาท ซึ่งมาจากโปรโตคอล และการจ่ายกรณีติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นมา แต่ในภาพรวมแล้วจะสามารถประหยัดงบได้ 35 ล้านบาท

“หลังจากนี้ สปสช. จะเร่งจัดทำประกาศ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการจ่ายค่าบริการ เพื่อรองรับการปรับปรุงและกำหนดอัตราจ่ายต่อไป พร้อมกับจัดให้มีการกำกับติดตามและประเมินผลการให้บริการเพื่อให้ประชาชนได้รับบริการตามความจำเป็นและเหมาะสม” เลขาธิการ สปสช. กล่าว