เสียชีวิต 1 รายตื่นตระหนกเสียงปะทะไทย-กัมพูชา สธ.ปิด 7 รพ. ย้ายผู้ป่วยกว่า 500 ราย

สธ.เผยรพ.กระทบ 19 แห่ง ปิดบริการ 7 แห่ง อพยพผู้ป่วยแล้วกว่า 500 ราย คนอพยพแล้วกว่า 130,000 คน เสียชีวิต 1 รายตื่นตระหนกจากเสียงปะทะย้ำเตรียมเตียงสำรองฉุกเฉินพื้นที่รอบนอกกว่า 4,000 เตียง เปิดศูนย์พักพิงกว่า 600 จุด เหตุปะทะไทย-กัมพูชา
เมื่อวันที่ 9 ธ.ค.2568 ที่กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) นพ.เอกชัย เพียรศรีวัชรา รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมติดตามสถานการณ์และเตรียมความพร้อมด้านการแพทย์และสาธารณสุข จากเหตุปะทะแนว ชายแดนไทย-กัมพูชา ที่มี นพ.สมฤกษ์ จึงสมาน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานว่า ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมามีการปะทะหลายจุดตามแนวชายแดนในจังหวัดอุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และสระแก้ว ซึ่งกองทัพภาคที่ 2 ได้มีการแจ้งเตือนเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์ที่ฝั่งกัมพูชาจะมีการยิงอาวุธเข้ามาในฝั่งประเทศไทย จึงได้อพยพประชาชนในหลายอำเภอ
หน่วยบริการกระทบ 283 แห่ง
สำหรับผลกระทบต่อระบบบริการสุขภาพของ สธ. จากการประเมินล่าสุด พบว่า หน่วยบริการกระทบ 283 แห่ง เป็น โรงพยาบาลในพื้นที่ชายแดนได้รับผลกระทบ 19 แห่ง โดยมี 12 แห่งที่ปิดให้บริการบางส่วน เช่น ผู้ป่วยนอกหรือผู้ป่วยใน และอีก 7 แห่งจำเป็นต้องปิดบริการชั่วคราวทั้งหมดอยู่ในพื้นที่เสี่ยง คือ
- จ.อุบลราชธานี ปิด รพ.น้ำยืน, รพ.นาจะหลวย และ รพ.น้ำขุ่น
- จ.ศรีสะเกษ ปิด รพ.กันทรลักษ์ และ รพ.ภูสิงห์
- จ.สุรินทร์ ปิด รพ.กาบเชิง และ รพ.พนมดงรักเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา
นอกจากนี้ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ได้รับผลกระทบรวมทั้ง 5 จังหวัดประมาณ 164 แห่ง ซึ่งหลายแห่งถูกใช้เป็นจุดพักพิงและสนับสนุนภารกิจช่วยเหลือประชาชน
เตรียมพร้อมเตียงผู้ป่วยรองรับกว่า 4,000
นพ.เอกชัย กล่าวอีกว่า เพื่อให้การบริการทางการแพทย์ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง สธ.ได้จัดระบบอพยพผู้ป่วยจากโรงพยาบาลที่ถูกปิดหรือพื้นที่เสี่ยงออกไปนอกพื้นที่ โดยได้มีการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยสะสมไปแล้วรวม 534 ราย โดยผู้ป่วยทั้งหมดในพื้นที่สีแดงได้ถูกย้ายออกไปยังโรงพยาบาลใกล้เคียงที่มีความพร้อมในจังหวัดเดียวกันหรือจังหวัดข้างเคียง เพื่อให้ระบบส่งต่อยังคงทำงานได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ
สธ. ยืนยันว่า โรงพยาบาลในพื้นที่รอบนอกมีศักยภาพรองรับผู้ป่วยเพิ่มเติม โดยมีจำนวนเตียงสำรองไม่ต่ำกว่า 4,000 เตียง ทั้งเตียงผู้ป่วยสามัญและเตียง ICU ในรพ.ต่างๆ
คนอพยพแล้ว 1.3 แสน
เรื่องการเปิดศูนย์พักพิง ขณะนี้มีการเปิดศูนย์พักพิงแล้ว 603 จุด ใน 7 จังหวัดชายแดน ซึ่งรองรับประชาชนได้กว่า 370,000 คน โดยมีผู้อพยพเข้าพักแล้วกว่า 130,000 คน ตัวอย่างเช่น จังหวัดศรีสะเกษ 40,000 กว่าราย, สุรินทร์ 50,000 กว่าราย, และอุบลราชธานี 25,000 คน เจ้าหน้าที่สาธารณสุขกว่า 2,500 คน ถูกจัดกระจายไปปฏิบัติงานดูแลประชาชนตลอด 24 ชั่วโมงในศูนย์พักพิงต่างๆ
เรื่องการดูแลกลุ่มเปราะบางภายในศูนย์พักพิง ซึ่งมีรายงานเกือบ 20,000 คน โดยส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ เด็กเล็ก ผู้ป่วยติดเตียง ผู้ป่วยฟอกไต และผู้ป่วยจิตเวช สธ.ได้จัดทีมแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเฉพาะทาง เช่น ทีมดูแลการฟอกไตต่อเนื่อง การดูแลผู้ป่วยติดเตียง และการดูแลสุขภาพเด็กเล็กและหญิงตั้งครรภ์ เพื่อให้การดูแลดำเนินไปอย่างต่อเนื่องไม่สะดุด
นอกจากนี้ สธ.ได้ระดมทีมฉุกเฉินเตรียมความพร้อมเพื่อลงพื้นที่ปฏิบัติงาน อาทิ ทีม ALS (กู้ชีพระดับสูง) กว่า 115 ทีม, ทีมควบคุมโรค และทีม MCATT ดูแลสุขภาพจิต เพื่อเยียวยาผู้ประสบภัยที่มีปัญหาความเครียดหรือความตื่นตระหนก
มีการคัดกรองสุขภาพจิตประชาชนในพื้นที่เสี่ยงสะสมไปแล้วกว่า 12,000 ราย ผู้ที่มีภาวะเครียดสูงและเสี่ยงทำร้ายตัวเอง โดยเฉพาะในจังหวัดใหญ่อย่างอุบลราชธานีและศรีสะเกษ ได้รับการดูแลจากทีม MCATT และมีการส่งต่อพบจิตแพทย์เป็นรายบุคคลอย่างใกล้ชิดในรายที่มีความเสี่ยงสูง และทีม SehRT ดูแลสุขภาพอนามัย
เสียชีวิต 1 ตื่นตระหนกเสียงปะทะ
“กรณีของผู้เสียชีวิต มีรายงานผู้เสียชีวิต 1 ราย มีโรคประจำตัว และเกิดจากความตื่นตระหนกจากเสียงปะทะในระหว่างการอพยพ ทำให้เกิดอาการแน่นหน้าอก หายใจลำบาก และหมดสติ ซึ่งแพทย์ได้ให้การช่วยเหลืออย่างเต็มที่แล้ว อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีรายงานประชาชนที่ได้รับบาดเจ็บจากผลกระทบของเหตุสู้รบโดยตรง”นพ.เอกชัยกล่าว
นพ.เอกชัย กล่าวด้วยว่า ประชาชนที่อพยพไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องเอกสารการรักษา เพียงมีการยืนยันตัวตนก็จะสามารถเข้าถึงประวัติการรับบริการจากโรงพยาบาลต้นทางผ่านระบบที่เปิดใช้งานในพื้นที่ 7 จังหวัดแล้ว ทำให้ประชาชนได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่อง
และขอเชิญชวนประชาชนที่สะดวกเข้าร่วมบริจาคเลือดสำรองที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน โดยเฉพาะโรงพยาบาลจังหวัดในพื้นที่เสี่ยง สธ. ย้ำว่ามีความพร้อมด้านการแพทย์และสาธารณสุขอย่างเพียงพอ และจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป
แผนรับมือกรณีรพ.ถูกโจมตี
นพ.เอกชัย กล่าวถึงการดำเนินการหากรพ.ในพื้นที่สีแดงถูกโจมตีว่า มีแผนในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยออกจากพื้นที่เสี่ยงทันทีตามแผนที่กำหนดไว้ โดยมีบุคลากรพร้อมปฏิบัติการ 24 ชั่วโมง โดยมีรพ.สำรองที่จะรับการย้ายผู้ป่วยไป โดยเฉพาะผู้ป่วยที่อาการหนักมีเตียงไอซียู เตียงสามัญที่รองรับผู้ป่วยได้ทันที ตั้งหน่วยแพทย์สนามกรณีฉุกเฉิน
ทั้งนี้ สธ.ให้ความสำคัญในการคุ้มครองความปลอดภัยเจ้าหน้าที่และผู้ป่วยเป็นลำดับแรก ซึ่งได้รับการสนับสนุนการดูแลจากฝ่ายทหาร ในการทำงานร่วมกันทางทหารและสาธารณสุข โดยทหารจะดูแลเรื่องความปลอดภัยเส้นทาง คุ้มครองพื้นที่ในการอพยพ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขจะดูแลผู้ป่วย
และสิ่งที่ต้องการอย่างมากจากฝ่ายทหารคือการคุ้มครองพื้นที่รอบรพ.ในกรณีที่ถูกโจมตี ในการสนับสนุนการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย เปิดเส้นทางที่ปลอดภัย และสนับสนุนเครื่องมือที่จำเป็น เช่น ระบบสื่อสาร ระบบไฟฟ้าสำรอง เพื่อให้มั่นใจว่าจะสามารถดูแลผู้ป่วยต่อเนื่องแม้อยู่ในสถานการณ์เสี่ยงสูงสุด
อนึ่ง โรงพยาบาลพื้นที่สีแดงที่เปิดให้บริการบางส่วน แต่ปิดให้บริการผู้ป่วยนอก เช่น
จ.ศรีสะเกษ รพ.ขุนหาญ
จ.สุรินทร์ รพ.ปราสาท รพ.สังขะ รพ.บัวเชด
จ.บุรีรัมย์ รพ.บ้านกรวด เปิดเฉพาะแผนกฉุกเฉิน รพ.ละหานทราย เปิดเฉพาะแผนกฉุกเฉิน
จ.สระแก้ว ปิด ให้บริการผู้ป่วยใน กับผู้ป่วยนอก ได้แก่ รพ.โคกสูง รพ.ตาพระยา รพ.อรัญประเทศ รพ.คลองหาด







