แก้ปัญหา 'บัตรทองกทม.' ใช้ 'นพรัตน์โมเดล' คาดเริ่มต.ค.69 

แก้ปัญหา 'บัตรทองกทม.' ใช้ 'นพรัตน์โมเดล'  คาดเริ่มต.ค.69 

“นพรัตน์โมเดล” แก้ปัญหา "บัตรทองกทม." รพ.นพรัตนฯขอเวลา 6 เดือน เตรียมพร้อมระบบรองรับ 3.5 แสนคน หวั่นโกลาหลหากรีบเปิดตัว คาดพร้อมเริ่ม ต.ค. ปีหน้า ระบุตอนนี้รพ.รับเต็มศักยภาพ  เผชิญรายรับน้อยกว่ารายจ่ายปีละกว่า 100 ล้านบาท 

จากกรณีที่คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(บอร์ดสปสช.) เห็นชอบแนวทางการแก้ปัญหาเรื่องส่งตัว ผู้ป่วยสิทธิบัตรทอง กทม. โดยให้โรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุข(สธ.)ในพื้นที่กทม.และปริมณฑลรอยต่อ 5 จังหวัด ร่วมดูแลประชาชน

ซึ่ง รพ.สธ.ในกทม. เป็นสถานพยาบาลที่อยู่ภายใต้สังกัดกรมการแพทย์ และก่อนหน้านี้มีการพูดถึงเรื่อง “นพรัตน์โมเดล” จะดำเนินการโดยมี รพ.นพรัตนราชธานี กรมการแพทย์ เป็นแม่ข่ายสำหรับพื้นที่กรุงเทพฯโซนตะวันออกนั้น  

คาดเริ่มนพรัตน์โมเดล ต.ค.ปี 69 

นพ.ณัฐพงศ์ วงศ์วิวัฒน์ อธิบดีกรมการแพทย์ ให้สัมภาษณ์เรื่องนี้ว่า กรมการแพทย์ในฐานะหน่วยงานของกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) ได้รับมอบหมายให้ร่วมจัดบริการกับกรุงเทพมหานครในโครงการ “นพรัตน์โมเดล” เพื่อดูแล ประชากรผู้ป่วยบัตรทอง(UC)ในพื้นที่กรุงเทพฯโซนตะวันออกกว่า 350,000 คน ซึ่งคิดเป็นประมาณ 10% ของประชากรสิทธิบัตรทองทั้งหมดในกรุงเทพฯที่มีอยู่ราว  3 ล้านคน 

ทั้งนี้ รพ.นพรัตนฯ ได้หารือกับคณะอนุกรรมการหลักประกันสุขภาพระดับเขต(อปสข.) รพ. หน่วยบริการ คลินิกเอกชน และได้สื่อสารทำความเข้าใจประชาชนในพื้นที่ว่า รพ.จะต้องวางแผนให้พร้อมและดีที่สุดก่อนที่จะให้บริการรองรับผู้มีสิทธิบัตรทอง 3.5 แสนคน

เนื่องจาก รพ.นพรัตนฯ ไม่ได้ให้บริการเฉพาะผู้ป่วยบัตรทอง มีการดูแลผู้ป่วยสิทธิอื่นๆทั้งที่เบิกได้และจ่ายค่ารักษาพยาบาลเองด้วย จึงจำเป็นต้องเตรียมความพร้อมภายใน ทั้งเรื่องโครงสร้าง ระบบ การส่งต่อ (refer) และการจัดกระบวนการทำงานร่วมกับทีมแพทย์ พยาบาล และคลินิกเอกชนที่จะอยู่ในเครือข่าย

“ตอนนี้ รพ.นพรัตนราชธานียังไม่พร้อมให้บริการ และจำเป็นต้องใช้เวลาเตรียมความพร้อมอย่างน้อย 6 เดือน หรืออาจจะเริ่มได้ในงบประมาณหน้า คือเดือนตุลาคมปี 2569 เพื่อจัดระบบและโครงสร้างภายในให้สมบูรณ์ เนื่องจากหากเริ่มในขณะที่ยังไม่พร้อมอาจเกิดความโกลาหลและส่งผลเสียต่อคนไข้ได้”นพ.ณัฐพงศ์กล่าว 

ขาดทุนจากบัตรทองกว่า 100 ล้าน/ปี 

ถามถึงเรื่องการจัดสรรงบประมาณภายใต้นพรัตน์โมเดล  นพ.ณัฐพงศ์ กล่าวว่า  ข้อตกลงเดิมคือจะให้งบเหมาจ่ายรายหัวเฉพาะ ส่วนของผู้ป่วยนอก(OPD) และค่าการจ่ายชดเชยค่าบริการผู้ป่วยนอก หรือ CR (Central Reimburse) ของประชากร 350,000 คน มาให้รพ.นพรัตนฯบริหารภายในเครือข่ายเอง จากที่เมื่อก่อนอปสข.จะกันไว้ที่ส่วนกลางเป็นการเฉลี่ยรับผิดชอบทั้งกทม. แต่ยังไม่มีการตกลงตามนี้จะต้องหารือกันในรายละเอียดต่อไปว่าจะดำเนินการเรื่องนี้ต่อไป อย่างไร  จำนวนงบประมาณเท่าไหร่ 

ในอดีตที่ผ่านมา ช่วง4-5 ปี  รพ.นพรัตนฯเผชิญกับปัญหารายรับน้อยกว่ารายจ่าย โดยเฉพาะผู้ป่วยบัตรทอง เกือบ 100 ล้านบาทต่อปีมาโดยตลอด  อย่างปีงบประมาณ 2568 อยู่ที่ 170 ล้านบาท

เนื่องจากโรงพยาบาลต้องตามจ่ายค่ารักษาให้คนไข้ที่ออกไปนอกเครือข่าย เช่น ไปโรงพยาบาลราชวิถี หรือจุฬาลงกรณ์ เพราะรพ.นพรัตนฯไม่ได้มีศักยภาพรักษาผู้ป่วยจนสุด จะต้องมีการส่งต่อผู้ป่วยกรณีเกินศักยภาพ 

“ถ้านพรัตน์โมเดลยังคงบริหารงบฯแบบเดิมรพ.นพรัตนฯก็แย่ไป แต่ถ้าทำแบบใหม่ก็หวังว่าประชาชนได้ประโยชน์ และนพรัตนฯน่าจะ ดีขึ้น แต่คงลดภาวะขาดทุนไม่ได้เท่าไหร่”นพ.ณัฐพงศ์กล่าว 

ผลดีหากนพรัตน์โมเดลสำเร็จ

นพ.ณัฐพงศ์ เห็นว่า ในการบริหารจัดการใหม่นี้

1.รพ.นพรัตนฯควรได้รับงบประมาณ CR 100% ในอัตรา 361 บาทต่อคน เพื่อให้สามารถบริหารจัดการและควบคุมการส่งต่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ การันตีว่าเมื่อเริ่มโมเดล จะไม่ทำให้รพ.นพรัตนฯแย่กว่าเดิม แต่อปสข.ระบุว่าไม่สามารถให้เต็มจำนวนได้ โดยขอเก็บงบประมาณส่วนหนึ่งคือ 50 บาทต่อคนไว้ที่เขตเพื่อเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุข

และ2.ระบบการบริหารจัดการคนไข้ที่อยู่ในโซนรับผิดชอบนี้  จะต้องอยู่ภายใต้การกำกับของรพ.นพรัตนฯ รวมถึง การส่งต่อผู้ป่วยจะต้องให้รพ.ตัดสินใจ  กรณีที่รพ.มีศักยภาพรักษาได้ก็จะดูแล แต่ถ้าเกินศักยภาพก็จะส่งต่อ และจะตามไปรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการรักษา 

นพ.ณัฐพงศ์ กล่าวด้วยว่า หากนพรัตน์โมเดล สามารถดำเนินการได้สำเร็จตามข้อเสนอ มีผลดีคือ ระบบปฐมภูมิใน กทม. จะเข้มแข็งขึ้นอย่างแน่นอน เพราะรพ.นพรัตน์จะกำกับดูแลคลินิกในเครือข่าย รวมถึง ระบบส่งต่อจะมีความเป็นระบบมากขึ้น นอกจากนี้ คาดว่าจะสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายโดยรวมได้ เพราะจะช่วยลดการใช้บริการที่ไม่จำเป็น (overuse) และลดการเดินทางออกนอกเครือข่ายของผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาลขนาดใหญ่ เช่น ราชวิถี จุฬาฯ หรือศิริราช

คาดนพรัตนฯคนไข้เพิ่มวันละ 170 คน 

ด้านนพ.ปิยวัฒน์ เลาวหุตานนท์ ผอ.รพ.นพรัตนราชธานี กล่าวว่า  ปัจจุบันรพ.ให้บริการผู้ป่วยนอกเต็มศักยภาพแล้วราว 1,000 คนต่อวัน  จะอยู่ที่อายุรกรรมและศัลยกรรม  แต่มีแผนขยายส่วนของผู้ป่วยนอกกับขยายวอร์ดอายุรกรรมและศัลยกรรม เพื่อรองรับคนไข้ให้ได้รับการรักษา ตามมาตรฐานอย่างดีที่สุด
ส่วนผู้ป่วยในมีผู้ป่วยแอดมิท(admit) ประมาณ 30 รายต่อวัน  หากระบบใหม่นพรัตน์โมเดลเริ่มต้นขึ้น จะทำให้มีผู้ป่วยนอกเพิ่มขึ้นในช่วงวันจันทร์-ศุกร์ประมาณ 150 คนต่อวัน และผู้ป่วยในแอดมิทเพิ่มขึ้น 20 คนต่อวัน

นอกจากนี้ โรงพยาบาลยังมีปัญหาด้านบุคลากร โดยพยาบาลเพียงอย่างเดียวเกษียณไป 45 คน เมื่อช่วง 30 กันยายนที่ผ่านมา ซึ่งอัตราส่วนนี้ค่อนข้างสูงและส่งผลกระทบต่อการดูแลรักษา จึงมีความจำเป็นต้องสรรหาบุคลากรเพิ่ม ทั้งพยาบาล และแพทย์ที่อาจจะต้องเพิ่มอีก 1-2 คน  รวมถึงเจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าที่ประสานงานกับเครือข่าย การเตรียมความพร้อมนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันความเสี่ยงและอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับคนไข้หากต้องรอการรักษา