กรมควบคุมโรคเตือน เลี้ยง ‘หมา-แมว’ ระวัง! ‘SFTS’ ปีนี้เจอ 3 ราย เสียชีวิตทั้งหมด

กรมควบคุมโรคเตือนคนลี้ยง หมา แมว โรคติดต่อสัตว์สู่คน เกิดจากไวรัส มีเห็บเป็นพาหะ ทำไข้สูงจนเกล็ดเลือดต่ำ เสี่ยงเสียชีวิตสูง ปี 68 ไทยพบป่วย 3 รายเสียชีวิตทั้งหมด
เมื่อวันที่ 19 พ.ย.2568 ที่กรมควบคุมโรค(คร.) ในการแถลงข่าว “พฤศจิกายนี้สุขภาพดี แข็งแรงทุกวัย ใส่ใจสุขภาพ” พญ.จุไร วงศ์สวัสดิ์ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ โฆษกกรมควบคุมโรค กล่าวว่า โรคติดเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดกลุ่ม Severe Fever with Thrombocytopenia Syndrome (SFTS: เอสเอฟทีเอส) เป็นโรคที่จะต้องเฝ้าระวัง
โดยเป็นโรคติดต่อระหว่างสัตว์สู่คน เกิดจากการติดเชื้อไวรัส SFTS จนทำให้เกิดอาการไข้สูง หรือเกล็ดเลือดต่ำ อัตราการเสียชีวิตโดยทั่วไปถึง 20 % โดยโรคนี้ไม่ได้ใหม่ แต่พบมากในโซนทวีปเอเชีย เคยมีรายงานที่จีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น บางประเทศอัตราการเสียชีวิตไม่มาก
มีเห็บหรือเห็บแข็ง เป็นพาหะนำโรค สัตว์ที่เป็นแหล่งรังโรค ได้แก่ สุนัข แมว แพะ แกะ วัว ควาย หมู ไก่ หนู และสัตว์ป่าชนิดต่าง ๆ และยังพบในบริเวณใบหญ้า หรือบริเวณสัตว์อาศัย และยังสามารถวางไข่ในรอยแตกปูน หรือดินชื้น
การติดต่อได้จาก เห็บสู่คน คนถูกเห็บที่มีเชื้อกัด สัตว์สู่คน สัมผัสเลือดหรือสารคัดหลั่งจากสัตว์ที่ติดเชื้อ และคนสู่คน สัมผัสเลือด สารคัดหลั่ง หรือละอองฝอย จากผู้ติดเชื้อแต่พบน้อย ส่วนใหญ่เกิดจาก เห็บสู่คน
“สำหรับประเทศไทยมีรายงานโรคนี้ ตั้งแต่ปี 2562 พบประปราย ซึ่งผู้ป่วยสะสมปี 2562-2568 อยู่ที่ 7 ราย แต่ปี 2568 พบแล้ว 3 ราย เสียชีวิตทั้ง 3 ราย อายุผู้ป่วยเฉลี่ย 55.7 ปีซึ่งส่วนใหญ่มีปัจจัยเสี่ยง มีโรคประจำตัว มีประวัติสัมผัสหยิบเห็บออกจากสุนัขมือเปล่า หรือเลี้ยงสุนัขแล้วถูกเห็บกัด เป็นต้น”
คำแนะนำต่อประชาชน ห้ามจับและบี้เห็บด้วยมือเปล่า อาบน้ำและใช้ยากำจัดเห็บให้สัตว์เลี้ยงเป็นประจำ ทำความสะอาดที่อยู่สัตว์เลี้ยงและบริเวณบ้านเป็นประจำ ใช้ยาควบคุมเห็บบริเวณฟาร์ม หรือพื้นที่เกษตร ระมัดระวังอย่าให้ถูกเห็บกัด โดยสวมเสื้อผ้ามิดชิด อย่าจับเห็บมือเปล่า ไม่ใช้มือบี้เห็ดโดยตรง หากสัมผัสเห็บให้ล้างมือด้วยสบู่และน้ำสะอาดทันที เป็นต้น
“หากมีไข้ มีจ้ำเลือดหรือจุดเลือดออกตามตัว ปวดกล้ามเนื้อ อาเจียน ถ่ายเหลว และมีประวัติสัมผัสข้างต้น ให้รีบพบแพทย์ทันที หากไม่ได้รับการรักษาอาจเกิดภาวะอวัยวะภายในล้มเหลวและรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิต ซึ่งโรคนี้มีรายงานเสียชีวิตค่อนข้างสูง” พญ.จุไร กล่าว
ด้านนพ.วีรวัฒน์ มโนสุทธิ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ โฆษกกรมควบคุมโรค กล่าวถึงโรคที่เกิดจากสัตว์เป็นพาหะและพบมากในช่วงนี้ว่า โรคไข้รากสาดใหญ่ หรือ โรคสครับไทฟัส พบระบาดแถวภาคเหนือตอนบน เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน น่าน และภาคอีสานบางจังหวัด ร้อยเอ็ด ศรีสะเกษ โดยปี 2568 เริ่มมีการระบาดตั้งแต่เดือนก.ย. พบป่วย 8,144 ราย เสียชีวิต 9 ราย อายุที่พบระหว่าง 17-78 ปี (มัธยฐานอายุ 51 ปี) อาชีพส่วนใหญ่ คือ เกษตรกรรม
โรคสครับไทฟัส เกิดจากเชื้อแบคทีเรียในกลุ่มริกเก็ตเซีย เกิดจากไรอ่อนขนาดเล็ก 1 มม. อาศัยตามพุ่มไม้ ยอดหญ้า อย่างไปเที่ยวตั้งแคมป์ หรือเดินตามสวนข้างบ้าน ที่มีพุ่มไม้ ก็มีโอกาสถูกไรอ่อนกัดได้ ระยะฟักตัว 6-20 วัน เฉลี่ย 10 วัน คนไข้จะมีอาการไข้ ปวดเมื่อยตามตัว ปวดศีรษะ ตาแดง
ที่สำคัญมีผื่นขึ้น บางคนมีผื่นเฉพาะ คล้ายบุหรี่จี้ พบได้ตามขาหนีบ ซอกก้น หรือรักแร้ ที่เกิดขึ้นเพราะไรคลานขึ้นไป และไปหยุดตรงนั้น ทั้งนี้ อาจมีภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดอักเสบ ไตวาย ตับวาย เยื่อหุ้มสมองอักเสบ แต่มียาปฏิชีวนะ รักษาได้ หากมีอาการจึงควรรีบพบแพทย์
คำแนะนำในการป้องกัน ขอให้หลีกเลี่ยงเข้าไปในพื้นที่เสี่ยง เช่น ป่าละเมาะ พื้นที่เกษตรใกล้ป่า พุ่มไม้ใกล้บ้าน หลีกเลี่ยงการนั่งหรือนอนลงบนพื้นดิน หรือพื้นหญ้าโดยตรง ให้ใช้ผลิตภัณฑ์เฉพาะไล่แมลงทาหรือฉีดพ่นผิวหนังและเสื้อผ้า ซึ่งความเข้มข้นจะมากกว่าป้องกันยุง
หลังกลับเข้าที่พักให้อาบน้ำทันที และตรวจสอบว่าร่างกายมีผื่น แผลหรือแมลงเกาะตามตัวหรือเสื้อผ้าหรือไม่ ควรซักผ้าด้วยผงซักฟอกทันทีหลังกลับเข้าที่พัก และหลังกลับจากพื้นที่เสี่ยงประมาณ 10 วัน ให้สังเกตอาการ เช่น มีไข้ ปวดตามตัว ไอแห้ง ปวดกระบอกตา ตาแดง อาจมีแผลบุ๋มสีดำรูปร่างกลมออกรี







