วิกฤติสุขภาพ คนไทยเกือบครึ่ง 'น้ำหนักเกิน-อ้วน' ป่วยโรค NCDs พุ่ง!

ผลสำรวจสุขภาพระดับชาติล่าสุด ผู้ป่วยเบาหวานความดันสูงรวมเกือบ 20 ล้านคน ภาวะน้ำหนักเกิน-อ้วน 27.4 ล้านคน จ่อเสี่ยงเบาหวานอีก 5.7 ล้าน ห่วงคนรุ่นใหม่-วัยทำงาน ส่อแววป่วย NCDs สูงกว่ากลุ่มสูงอายุ ทำไทยตกเป้าตัวชี้วัดองค์การอนามัยโลก
KEY
POINTS
- ผลสำรวจสุขภาพคนไทยครั้งล่าสุดพบว่า คนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไปเกือบครึ่ง (45%) หรือ 27.4 ล้านคน มีภาวะน้ำหนักเกินและเป็นโรคอ้วน
- สถานการณ์โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างน่ากังวล โดยพบผู้ป่วยเบาหวาน 6.1 ล้านคน และความดันโลหิตสูง 17.5 ล้านคน
- พฤติกรรมเสี่ยงด้านสุขภาพ เช่น การสูบบุหรี่ ดื่มสุรา และกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอ เป็นปัจจัยสำคัญที่เพิ่มความเสี่ยง โดยพบแนวโน้มสูงขึ้นในกลุ่มคนอายุน้อย
- มีผู้ป่วยจำนวนมากที่ไม่รู้ตัวว่าเป็นโรค โดยผู้ป่วยเบาหวาน 27% และผู้ป่วยความดันโลหิตสูงถึง 48% ไม่เคยได้รับการวินิจฉัยมาก่อน
ผลสำรวจสุขภาพระดับชาติล่าสุด ผู้ป่วยเบาหวานความดันสูง รวมเกือบ 20 ล้านคน ภาวะน้ำหนักเกิน-อ้วน 27.4 ล้านคน จ่อเสี่ยงเบาหวานอีก 5.7 ล้าน ห่วงคนรุ่นใหม่-วัยทำงาน ส่อแววป่วย NCDs สูงกว่ากลุ่มสูงอายุ ทำไทยตกเป้าตัวชี้วัดองค์การอนามัยโลก
เมื่อเร็วๆนี้คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ร่วมกับ สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เปิดเผยผลการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกายครั้งที่ 7 พ.ศ. 2567-2568 (สำรวจทุก 5 ปี) ในหัวข้อ “สถานการณ์โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ของไทย แนวโน้มและข้อเสนอเชิงนโยบาย”
ภายใต้การสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกาย (National Health Examination Survey : NHES) เก็บข้อมูลแบบรายบุคคล จากประชากรตัวอย่างประมาณ 30,000 คน ครอบคลุม 21 จังหวัดทุกภูมิภาค
45% น้ำหนักเกิน-อ้วน
ศ.นพ.วิชัย เอกพลากร ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวถึงผลการสำรวจว่า สถานการณ์โรค NCDs ของคนไทยในรอบ 20 ปี หรือตั้งแต่ปี 2547-2568 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น พบว่า คนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป
- ป่วยเบาหวาน 10.6% หรือ 6.1 ล้านคน,
- ป่วยโรคความดันโลหิตสูง 29.5% หรือ 17.5 ล้านคน ,
- ภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วอยู่ที่ 45% หรือ 27.4 ล้านคน ,
- ภาวะไขมันในเลือดสูง 20%
- และกลุ่มอาการเมตาบอลิก (Metabolic Syndrome) พบ 28 % บ่งชี้ถึงความเสี่ยงสูงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด (CVD) กลุ่มนี้กำลังเพิ่มขึ้นอย่างมากในกลุ่มอายุที่น้อยลงและวัยทำงาน
นอกจากนี้ ยังพบว่าคนที่เสี่ยงเป็นเบาหวานในอนาคตถึง 5.7 ล้านคน แม้ว่าคนป่วยเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลได้ดีมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจาก 13.8% เมื่อปี 2547 เพิ่มเป็น 28.6% แต่ยังต่ำกว่าเป้าหมายที่องค์การอนามัยโลก(WHO)แนะนำ ต้องอยู่ที่ 80%
อีกทั้ง มีคนป่วยเบาหวานแต่ไม่รู้ตัวว่าเป็นเบาหวานถึง 27% หรือ 1.6 ล้านคน และคนป่วยความดันโลหิตสูงที่ไม่รู้ตัวสูงถึง 48% หรือ 8.4 ล้านคน
คนไทยมีปัจจัยเสี่ยงอื้อ
ขณะที่ รศ.พญ.เริงฤดี ปธานวนิช ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี และหัวหน้าโครงการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกายครั้งที่ 7 กล่าวว่า การสำรวจครั้งนี้ยังมีเรื่องของพฤติกรรมเสี่ยงสุขภาพของคนไทย โดยเฉพาะใน 4 เรื่อง คือ สูบบุหรี่ ดื่มสุรา อ้วน และกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอ พบว่า
- คนสูบบุหรี่ 11 ล้านคน ,
- ดื่มสุรา 17 ล้านคน,
- อ้วน 27 ล้านคน ,
- กิจกรรมทางกายไม่เพียงพอ 25 ล้านคน ,
- สูบบุหรี่และดื่มสุรา 6 ล้านคน
- ,อ้วนและกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอ 12 ล้านคน
- และมีพฤติกรรมเสี่ยงครบทั้ง 4 เรื่อง 3.2 ล้านคน
อายุน้อยพฤติกรรมเสี่ยงเพิ่ม ยิ่งเสี่ยง
การมีพฤติกรรมเสี่ยงเช่นนี้ ทำให้เพิ่มความเสี่ยงที่จะป่วยโรค NCDs เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนโดยเฉพาะกลุ่มวัยต่ำกว่า 40 ปี อย่างกรณีโรคเบาหวานที่มักไม่ค่อยพบในคนอายุน้อย แต่กลุ่มอายุ 15-34 ปี แนวโน้มความชุกของโรค
- หากไม่มีปัจจัยเสี่ยงใด ๆเลยจะป่วยเบาหวานเพียง 0.3% , ความดันโลหิตสูง 2.1 %
- แต่หากมีปัจจัยเสี่ยงเรื่องใดเรื่องหนึ่ง จะเสี่ยงเป็นเบาหวาน 2.2 % ,ความดันโลหิตสูง 6.5 %
- และหากมีปัจจัยเสี่ยงครบ 4 เรื่อง เสี่ยงเบาหวานสูงถึง 45.2% ,ความดันโลหิตสูง 76.8 % เป็นต้น
“ที่น่ากังวล คือ พฤติกรรมเสี่ยงต่าง ๆ ทั้ง สูบบุหรี่ ดื่มสุรา หรือมีกิจกรรมทางกายต่ำ พบในกลุ่มคนอายุน้อยมีแนวโน้มเสี่ยงเพิ่มขึ้นสูงกว่าในกลุ่มผู้สูงอายุ และทำให้เสี่ยงเช่น อัตราการสูบบุหรี่ในกลุ่มอายุ 15-34 ปี เพิ่มสูงขึ้น แต่ในผู้สูงอายุพบว่ามีแนวโน้มการสูบบุหรี่ลดลง ซึ่งเป็นผลมาจากการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าที่พุ่งเป้าไปที่กลุ่มเยาวชน โดยพบว่า 70% ของคนสูบบุหรี่ไฟฟ้าในไทยอายุต่ำกว่า 30 ปี”รศ.พญ.เริงฤดีกล่าว
โรคNCDs ไทยตกเป้าWHO
เมื่อนำผลการสำรวจสุขภาพคนไทยปีล่าสุด ในส่วนของโรค NCDs เทียบกับเป้าหมายตัวชี้วัดที่ต้องบรรลุในปี 2025 ขององค์การอนามัยโลก หรือฮู(WHO) รศ.พญ.เริงฤดี กล่าวว่า ประเทศไทยตกตัวชี้วัด 6 เรื่อง คือ ลดการสูบบุหรี่ เป้าหมายที่ต้องบรรลุ 14.98 % ผลลัพธ์ 18.5 % ,เบาหวานไม่เพิ่มขึ้น เป้า 7.3 % ผลลัพธ์ 11.1% ,อ้วนไม่เพิ่มขึ้น เป้า36.2 % ผลลัพธ์ 46.3 %,กิจกรรมทางกายต่ำลดลง เป้า 16.65% ผลลัพธ์ 42.6% ,ความดันโลหิตสูงลดลง เป้า 16.95% ผลลัพธ์ 31 % และบริโภคโซเดียมลดลง เป้า 3,046 มิลลิกรัมต่อวัน ผลลัพธ์ 3,650 มิลลิกรัมต่อวัน
“แม้ว่าทั่วโลกจะไม่มีประเทศใดที่สามารถผ่านตัวชี้วัดครบทุกตัว แต่ประเทศไทยยังคงมีตัวชี้วัดหลายด้านที่น่ากังวล และในการวิเคราะห์ระดับโลกที่เพิ่งตีพิมพ์ปี 2024 ระบุว่าประเทศไทยอยู่ในสถานะสีแดง off track high หรือมีความมั่นใจสูงว่าจะไม่บรรลุผลตามเป้าหมายด้านกิจกรรมทางกายอย่างแน่นอน”รศ.พญ.เริงฤดีกล่าว
ปรับกลยุทธ์จัดการปัจจัยเสี่ยง
รศ.พญ.เริงฤดี เสนอแนะว่า การจะควบคุมโรค NCDs ให้ได้ผล ต้องปรับกลยุทธ์ในการจัดการปัจจัยเสี่ยงสุขภาพ ควรกำหนดให้ปัจจัยเสี่ยงสุขภาพ เช่น อัตราการสูบบุหรี่ ดื่มสุรา อ้วน เป็นตัวชี้วัดในการดำเนินงานและให้มีการคัดกรองร่วมกับการคัดกรองเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และควรขยายการคัดกรองที่ปัจจุบันคัดกรองคนอายุ 35 ปีขึ้นไป ให้ครอบคลุมกลุ่มอายุต่ำกว่า 35 ปีที่มีปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพด้วย รวมถึงการจัดกิจกรรมรณรงค์หรือโครงการปรับพฤติกรรมต่าง ๆ ควรเน้นไปที่กลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงานเพิ่มมากขึ้น
ข้อมูลนำสู่นโยบายและยุทธศาสตร์สุขภาพ
นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าวว่า ข้อมูลสุขภาพประชาชนเป็นรากฐานสำคัญของการวางนโยบายและยุทธศาสตร์การสร้างเสริมสุขภาพของประเทศ ซึ่งการสำรวจสุขภาพนี้เป็นข้อมูลระดับชาติหนึ่งเดียวในไทยที่มีการตรวจเลือดและเก็บตัวอย่างทางชีวภาพ เพื่อวิเคราะห์สถานะสุขภาพ เช่น เบาหวาน ไขมันในเลือด ไต การทำงานของตับ
โดย สสส. ได้นำข้อมูลจากมาวิเคราะห์ร่วมกับฐานข้อมูลสุขภาพอื่น ๆ ของประเทศ เช่น ข้อมูลการป่วยและการเสียชีวิต เพื่อนำไปพัฒนาดัชนีภาระโรค (Burden of Diseases) และคะแนนสุขภาพประชาชน (Health Score) สะท้อนสถานะสุขภาพของประชาชนไทย ทั้งโรคไม่ติดต่อ (NCDs) พฤติกรรมสุขภาพ และความเสี่ยงเชิงสิ่งแวดล้อม
เช่น การวิเคราะห์พบว่า ผู้ที่ดื่มสุราระดับเสี่ยงมีค่าเอนไซม์ตับสูงกว่าคนทั่วไป 3-5 เท่า สะท้อนความเสี่ยงต่อโรคตับแข็งและมะเร็งตับอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้ สสส. สามารถกำหนดกลยุทธ์การรณรงค์ลดการดื่มสุราได้ตรงจุดมากขึ้น เป็นพลังสำคัญของการสร้างเสริมสุขภาพยุคใหม่ เพราะจะทำให้มองเห็นปัญหาเชิงพื้นที่ได้แม่นยำขึ้น ติดตามผลได้ชัดเจนขึ้น และออกแบบนโยบายที่ตอบโจทย์ประชาชนได้จริง
ด้าน นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ ผอ.สวรส. กล่าวว่า การสำรวจสุขภาพประชาชนไทยได้ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2534 ซึ่งเป็นข้อมูลด้านสุขภาพที่สำคัญต่อการดำเนินนโยบายด้านสาธารณสุขของประเทศไทย เนื่องจากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุข(สธ.)ยังมีข้อจำกัดเฉพาะกลุ่มคนที่ป่วยแล้วและมารับการรักษาที่สถานบริการ การสำรวจสุขภาพฯ ช่วยทำให้มองเห็นภาพรวมสถานการณ์สุขภาพของประเทศชัดเจนขึ้น สวรส. จึงให้ความสำคัญและสนับสนุนการสำรวจสุขภาพฯ มาโดยตลอด
“การสำรวจสุขภาพฯ เปรียบเหมือนการลงทุนด้านข้อมูล ที่ช่วยให้ประเทศไทยสามารถก้าวทันสถานการณ์สุขภาพของประชาชน และใช้เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ในการวางแผนกลยุทธ์ด้านสาธารณสุขของประเทศ โดยเฉพาะการรับมือกับปัญหาสุขภาพที่เปลี่ยนแปลงไป รวมทั้งสามารถใช้ติดตามและประเมินผลนโยบายและมาตรการด้านสุขภาพ เพื่อการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น” นพ.ศุภกิจ กล่าว







