บอร์ดสปสช.เคาะทางแก้ปัญหางบฯ ‘ผู้ป่วยใน’ กองทุนบัตรทอง

บอร์ดสปสช.เห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหางบฯผู้ป่วยในกองทุนบัตรทอง-แนวทางการจ่ายค่าบริการสาธารณสุขล่วงหน้า เสริมสภาพคล่องของรพ. ปี 70 ร่วมกันจัดทำคำของบประมาณให้เพียงพอ
KEY
POINTS
- บอร์ด สปสช. มีมติเห็นชอบแนวทางแก้ไขปัญหางบประมาณกองทุนผู้ป่วยในของสิทธิบัตรทองที่ไม่เพียงพอ โดยเป็นการทำงานร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข
- สำหรับปีงบประมาณ 2569 จะยังคงอัตราการจ่ายค่าบริการผู้ป่วยในไว้ที่ 8,350 บาทต่อ AdjRW และจะมีการบริหารงบประมาณ 5 หมวดร่วมกันโดยให้ความสำคัญกับงบผู้ป่วยในเป็นหลัก
- มีการจ่ายเงินล่วงหน้าเพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงินให้โรงพยาบาล โดย สปสช. ได้โอนงบค่าบริการผู้ป่วยนอกและงบส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรคของปี 2569 ไปแล้ว 50%
- สธ. และ สปสช. จะร่วมกันจัดทำระบบกำกับติดตามและตรวจสอบเวชระเบียนให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน และจะร่วมกันจัดทำข้อมูลเพื่อของบประมาณในปีถัดไปให้เพียงพอ
เมื่อเวลา 19.00 น. วันที่ 3 พ.ย. 2568 นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รมว.สาธารณสุข ในฐานะประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) แถลงข่าวภายหลังประชุมบอร์ด สปสช.ซึ่งมีวาระแนวทางการแก้ไขปัญหางบกองทุนผู้ป่วยในว่า การประชุมบอร์ด สปสช. ในวันนี้ มีวาระที่หารือเพื่อแก้ปัญหางบผู้ป่วยในไม่เพียงพอ คือ แนวทางการแก้ไขปัญหางบกองทุนผู้ป่วยในร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข และแนวทางการจ่ายค่าบริการสาธารณสุขล่วงหน้า เพื่อเสริมสภาพคล่องของโรงพยาบาลในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติหรือบัตรทอง
แนวทางแก้ปัญหาทั้งหมดนี้ ผ่านการหารือระหว่าง สปสช. และ สธ. รวมถึงชมรมโรงพยาบาลในระดับต่างๆ แล้ว ซึ่งทุกฝ่ายเห็นพ้องด้วยกัน เชื่อมั่นว่า มติบอร์ด สปสช.ที่ออกมาวันนี้ จะทำให้สถานการณ์ความขัดแย้งและความไม่เข้าใจกันในครั้งนี้คลี่คลายและยุติลง จับมือเดินหน้าทำงานเพื่อประชาชนต่อไป มีการแก้ไขปัญหาร่วมกัน
ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ 2568 เมื่อยกเลิกรีรัน จึงไม่ต้องมีคำว่า กำไรขาดทุน เพียงแต่กระแสเงินที่ให้บริการไปกับกระแสเงินที่งบประมาณเบิกมาให้ อาจมีความช้าไทม์มิ่งในการเบิกจ่ายเท่านั้น ส่วนเรื่องขอกลาง ได้มีการเสนอขอเข้าไปแล้ว ขณะนี้อยู่ที่สำนักงบประมาณ ก็หวังว่าจะเข้าครม.เร็วที่สุด
“ รัฐบาลขอยืนยันว่า 30 บาทรักษาทุกที่ หรือสิทธิบัตรทองของผู้ป่วยยังเดินหน้าต่อไปอย่างมั่นคงและยั่งยืน ไม่มีใครล้มระบบ และไม่มีประเด็นให้ผู้ป่วยต้องร่วมจ่ายเพราะงบประมาณไม่เพียงพออย่างแน่นอน ความคิดเห็นและข้อเสนอต่างๆ ขณะนี้ล้วนเป็นไปเพื่อต้องการให้ระบบดีขึ้น และทั้ง สธ. และ สปสช. ก็ปรับปรุงแก้ไขเพื่อทำให้ระบบดีขึ้น ขอให้ประชาชนไม่ต้องกังวล การบริการต่างๆ ยังคงเหมือนเดิม”นายพัฒนากล่าว
ด้าน นพ.สมฤกษ์ จึงสมาน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) กล่าวว่า ที่ผ่านมา สธ. และ สปสช. ได้ร่วมมือกันแก้ไขปัญหา ผ่านการหารือกับชมรมโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป และโรงพยาบาลชุมชน รวมถึง กองเศรษฐกิจสุขภาพและหลักประกันสุขภาพ จนนำมาสู่แนวทางที่เสนอบอร์ด สปสช. พิจารณาในวันนี้
ในส่วนงบประมาณผู้ป่วยในปี 2568 ได้ข้อยุติแล้ว จากนี้ สธ. และ สปสช. จะเดินหน้าบริหารการจัดสรรงบประมาณปี 2569 ให้กับหน่วยบริการสังกัด สป.สธ. ร่วมกันต่อไป โดยค่าบริการผู้ป่วยใน ยังคงอัตราจ่าย 8,350 บาทต่อ AdjRW ทั้งปี
รวมทั้งร่วมกันบริหารงบประมาณกองทุน จำนวน 5 หมวด ได้แก่ บริการผู้ป่วยนอก (OP) บริการผู้ป่วยใน (IP) บริการสร้างเสริมสุขภาพป้องกันโรค (PP basic service) การจ่ายตามรายการ (Fee schedule) และการบริหารแบบโครงการ โดยยึดหลักการให้ความสำคัญกับการจ่ายค่าบริการผู้ป่วยในให้เพียงพอ และพิจารณาลดรายการบริการที่ไม่จำเป็น
ในส่วนของการหักเงินเดือนบุคลากรภาครัฐสังกัด สป.สธ.นั้น ในปี 2569 กองเศรษฐกิจสุขภาพและหลักประกันสุขภาพได้จัดทำข้อเสนอประกอบพิจารณาแยกเงินเดือนบุคลากรภาครัฐสังกัด สป.สธ. ออกมาในภาพรวม จากเดิมที่แยกเงินเดือนเป็นแต่ละหน่วยบริการ เพื่อให้เห็นงบค่าบริการสาธารณสุขที่เหลือจริงหลังจากหักเงินเดือน และเป็นข้อมูลให้ สธ. บริหารการจัดสรรงบประมาณให้หน่วยบริการภายใต้เครือข่ายหน่วยบริการประจำ
นอกจากนั้น สธ. จะร่วมกับ สปสช. จัดระบบการกำกับติดตาม ตรวจสอบเวชระเบียนการให้บริการผู้ป่วยในของหน่วยบริการทุกแห่งให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน เพื่อเสนอของบประมาณเพิ่มเติมตามความเหมาะสมในกรณีที่มีการให้บริการเกินกว่าเป้าหมายที่ได้รับงบประมาณ
ขณะที่ นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสปสช. กล่าวว่า จากมติบอร์ด สปสช. ในวันนี้ หลังจากนี้ สปสช. จะเดินหน้าบริหารกองทุนร่วมกับกับ สธ. โดยในส่วนของปี 2568 และปี 2569 มีแนวทางการดำเนินการที่ชัดเจนตามที่รมว.สาธารณสุขและท่านปลัดกระทรวงสาธารณสุขกล่าว ในส่วนของการจัดทำคำของบประมาณปี 2570 สธ. และ สปสช. จะร่วมกันจัดทำข้อมูลประมาณการผลงานให้บริการผู้ป่วยในรายหน่วยบริการในภาพรวมทุกสังกัด และมีการแยกกลุ่มบริการให้ชัดเจน
รวมทั้งพิจารณาอัตราการเติบโตการให้บริการของปีงบประมาณ 2569 สำหรับการคำนวณวงเงินปลายปิดรายเขตเพื่อประกอบการจัดทำคำของบประมาณปี 2570 ให้เพียงพอ หลังจากนี้จะมีการแต่งตั้งคณะทำงานร่วมระหว่าง สธ. สปสช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันจัดทำต้นทุนบริการที่เหมาะสมในการจัดทำงบประมาณปีถัดไป และใช้สำหรับการประกอบการทำคำของบกลาง
นพ.จเด็จ กล่าวอีกว่า ในส่วนของการเสริมสภาพคล่องทางการเงินให้หน่วยบริการนั้น จากการหารือร่วมกัน สปสช.ได้โอนงบค่าบริการผู้ป่วยนอก (OP) และค่าบริการสร้างเสริมสุขภาพป้องกันโรค (PP) ในปีงบประมาณ 2569 สำหรับหน่วยบริการสังกัด สป.สธ. สถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติและ รพ.สต.ถ่ายโอนฯ 50 % ให้กับหน่วยบริการไปแล้วเมื่อวันที่ 31 ต.ค.ที่ผ่านมา
อนึ่ง สำหรับข้อเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหางบกองทุนผู้ป่วยใน ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขปีงบประมาณ พงศ.2568-2570 ที่มีการเสนอเข้าสู่บอร์ดสปสช. ได้แก่
ปีงบประมาณ 2568 ใน 10 เดือนครึ่งที่ผ่านมา สปสช.จ่ายในอัตราเบื้องต้น 8,350 บาท/AdjRW และในอีก 1 เดือนครึ่งที่เหลือ สปสช.จะจ่ายโดยคำนวณตามวงเงินที่เหลือ สำหรับกรณีที่ยังไม่ถึงอัตราจ่าย 8,350 บาท/AdjRW จะใช้งบประมาณที่ของบกลาง และหากยังไม่พอจะใช้งบประมาณปี พ.ศ.2569 ต่อไป
ปีงบประมาณ 2569
1.การจัดสรรค่าบริการงบผู้ป่วยนอก(OP) ส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรค(PP)และผู้ป่วยใน (IP) ให้หน่วยบริการสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข(สป.สธ.) ปรับการปรับลดค่าแรงในภาพรวม เพื่อให้สธ.บริหารการจัดสรรงบประมาณให้หน่วยบริการภายใต้เครือข่ายหน่วยบริการประจำ
2.สธ.และสปสช. ร่วมกันจัดทำข้อมูลประมาณการผลงานให้บริการผู้ป่วยใน(Sum AdjRW) รายหน่วยบริการในภาพรวมทุกสังกัด และมีการแยกกลุ่มบริการให้ชัดเจน รวมทั้งพิจารณาอัตราการเติบโตการให้บริการของปีงบประมาณ พ.ศ.2569 สำหรับการคำนวณวงเงิน Global budget รายเขต
3.ร่วมกันจัดระบบการกำกับติดตาม ตรวจสอบเวชระเบียนการให้บริการผู้ป่วยในของหน่วยบริการทุกแห่งให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน รวมทั้งผลการ audit หากกรณีผลงานเกินกว่าเป้าหมายที่ได้รับงบประมาณ ให้เสนอของงบประมาณเพิ่มเติมตามความเหมาะสม
4.การจ่ายค่าบริการผู้ป่วยในคงอัตราจ่ายเบื้องต้น 8,350 บาท/AdjRW รวมทั้งร่วมกันบริหารงบประมาณกองทุนฯแบบปลายปิด จำนวน 5 หมวด ได้แก่ ผู้ป่วยนอกทั่วไป, ผู้ป่วยในทั่วไป, PP basic service, Fee schedule และบริหารแบบโครงการ โดยเฉพาะ Fee schedule สำหรับหน่วยบริการนวัตกรรม โดยหลักการให้ความสำคัญกับการจ่ายค่าบริการผู้ป่วยในให้เพียงพอ และพิจารณาลดรายการบริการที่ไม่จำเป็น
5.เสริมสภาพคล่องทางการเงินให้หน่วยบริการ โดยให้ สปสช.โอนงบค่าบริการผู้ป่วยนอกและค่าบริการส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรค สำหรับหน่วยบริการสังกัด สป.สธ.สถานีอนามัย และรพ.ส่งเสริมสุขภาพตำบล(รพ.สต.) ถ่ายโอนฯ ในปีงบประมาณ 2569 ระหว่างรอการปรับเกลี่ยรายรับค่าบริการ ตามผลการปรับเกลี่ยงบประมาณปี 2568 ไม่เกิน 50 % ไปพลางก่อน
6.ให้สธ. เป็นเลขานุการร่วมในคณะอนุกรรมการที่เกี่ยวข้อง เพื่อร่วมกันจัดทำต้นทุนบริการที่เหมาะสม ในการจัดทำงบประมาณปีถัดไป และใช้สำหรับการประกอบการทำคำของบกลาง และการตรวจสอบชดเชยค่าบริการ(Audit)
ปีงบประมาณ2570 สธ.และสปสช.ร่วมกันจัดทำข้อมูลประมาณการ เพื่อประกอบการตั้งงบประมาณผู้ป่วยใน ทั้งผลงานให้บริการผู้ป่วยในและต้นทุนต่อน้ำหนักสัมพัทธ์







