เปิดแผนยกระดับ‘ยาดมสมุนไพรไทย’ ตีตลาดโลก เป้า 10,000 ล้านบาท

สธ.เตรียมชงแผนยกระดับอุตสาหกรรม “ยาดมสมุนไพรไทย” สู่เมดิคัล & เวลเนส S-Curve เข้าครม. รุกตีตลาดโลก เพิ่มมูลค่าตลาดจาก 1,000 ล้านบาทเป็น 10,000 ล้านบาท นำร่องโรดโชว์ ตะวันออกกลาง-จีน-เยอรมนี
KEY
POINTS
- กระทรวงสาธารณสุขผลักดันยาดมสมุนไพรไทยสู่ตลาดโลก โดยตั้งเป้าเพิ่มมูลค่าตลาดจากปัจจุบัน 1,300 ล้านบาท เป็น 10,000 ล้านบาท
- เตรียมเสนอแผนยกระดับอุตสาหกรรมเข้าสู่คณะรัฐมนตรี ซึ่งประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก คือ การยกระดับมาตรฐานและความปลอดภัย, การวิจัยและพัฒนานวัตกรรม และการตลาดโลกและ Soft Power
- ใช้กลยุทธ์เชื่อมโยงกับ Wellness Tourism, สนับสนุนผู้ประกอบการ SME ให้ได้มาตรฐานสากล (GMP) และมีแผนจัด Road Show ในตลาดเป้าหมาย เช่น ตะวันออกกลาง จีน และเยอรมนี
สธ.เตรียมชงแผนยกระดับอุตสาหกรรม “ยาดมสมุนไพรไทย” สู่เมดิคัล & เวลเนส S-Curve เข้าครม. รุกตีตลาดโลก เพิ่มมูลค่าตลาดจาก 1,000 ล้านบาทเป็น 10,000 ล้านบาท นำร่องโรดโชว์ ตะวันออกกลาง-จีน-เยอรมนี
ภายใต้ความคาดหวังที่จะยกระดับสมุนไพรไทยสู่ตลาดโลก ในส่วนของ“ยาดมสมุนไพรไทย” ปัจจุบันมีมูลค่าตลาดกว่า 1,300 ล้านบาท และมีศักยภาพที่จะเติบโตสู่หลัก 10,000 ล้านบาท โดยกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เตรียมผลักดันแผนยกระดับอุตสาหกรรมยาดมสมุนไพรสู่ เมดิคัล & เวลเนส S-Curve สู่ตลาดโลกผ่านแผน Soft Power และการเชื่อมโยงกับ Wellness Tourism ท่ามกลางทิศทางตลาดโลกที่มองผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยในแง่บวก
หวังดันมูลค่าตลาดสู่ 10,000 ล้าน
นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รมว.สาธารณสุข กล่าวว่า สธ.มีหน้าที่ทั้งการดูแลผู้บริโภค การตรวจสอบ และการสนับสนุนส่งเสริมผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะสมุนไพรไทย ซึ่งทุกฝ่ายทั้งผู้ประกอบการทั้งภาครัฐและภาคเอกชนมองไปในทางเดียวกันว่า อุตสาหกรรมสมุนไพรไทยเป็นสิ่งที่ต้องรักษาและส่งเสริม ให้มีการบริหารจัดการที่ดี ตั้งแต่ขั้นปลูก แหล่งกำเนิด ไปจนถึงกระบวนการผลิตและวิธีการขาย ก็จะสามารถยกระดับมูลค่าตลาดขึ้นไปได้
"อย่างผลิตภัณฑ์ยาดมในประเทศมูลค่าตลาดอยู่ที่ 4,500 ล้านบาท ที่เป็นยาดมสมุนไพรมีผู้ประกอบการกว่า 200 ราย มีมูลค่าตลาดอยู่ที่ กว่า 1,300 ล้านบาท ก็น่าที่จะยกระดับเป็นหลัก 10,000 ล้านบาทได้โดยไม่ยาก"นายพัฒนากล่าว
เตรียมชงแผนยกระดับเข้าครม.
นพ.พงศธร พอกเพิ่มดี อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวว่า กรมเตรียมแผนยกระดับอุตสาหกรรมยาดมสมุนไพร สู่เมดิคัล&เวลเนส S-Curve เสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี(ครม.) ประกอบด้วย 3 ส่วน คือ
1.การยกระดับมาตรฐานและความปลอดภัย ในเรื่อง Matching Fund 50 % สนับสนุนเงินทุนSME ปรับปรุงโรงงานให้ได้มาตรฐาน GMP ,จัดทำตราสัญลักษณ์ Thai Premium Herbal Standard(TPHS) รับรองผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการทดสอบ Zero-Contamination ,จัดตั้งศูนย์วิเคราะห์ราคาพิเศษ/ฟรี สำหรับSME และลด/ยกเว้นภาษีนำเข้าเครื่องมือห้องแล็บสำหรับโรงงานยาดม
2.วิจัยและพัฒนานวัตกรรม มีทุนวิจัยเฉพาะทางพัฒนายาดมเป็น Functional Product ,สนับสนุนทุนการออกแบบและจดสิทธิบัตรบรรจุภัณฑ์อัจฉริยะ ,จัดตั้งกองทุน Thai Herb Wellness Fund เป็นกองทุนร่วมทุน สนับสนุนSME และสตาร์ทอัปด้านยาดมที่มีนวัตกรรมและศักยภาพส่งออกสูง และเสนอบีโอไอ พิจารณาให้สิทธิประโยชน์สูงสุดแก่โครงการยาดมที่มีการลงทุนวิจัยและพัฒนา และเทคโนโลยีการผลิตอัตโนมัติ
3.การตลาดโลกและ Soft Power สนับสนุนการขอการรับรองระหว่างประเทศ( Global Certication) รวมถึง เชื่อมโยงแพ็กเกจ Wellness Tourism บูรณาการยาดมมาตรฐานTPHS เข้ากับแพ็กเกจท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และคัดเลือกแบรนด์ SME ที่มีศักยภาพ สนับสนุนในการทำอี-คอมเมิร์ซ และเชื่อมโยงกับอินฟลูเอ็นเซอร์ ทั้งนี้ มีแผนนำร่องทำ Road Show ใน 3 ประเทศ คือ ตะวันออกกลาง, จีน, และเยอรมนี
4 มาตรการอย.
ด้านภญ.สุภัทรา บุญเสริม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา กล่าวว่า ผู้ประกอบการที่ได้รับอนุญาตผลิตทางสมุนไพรทั่วประเทศประมาณ 700 ราย และมีทะเบียนตำรับหลายพันทะเบียน ซึ่งอย. มี 4 มาตรการเพื่อยกระดับมาตรฐาน คือ 1.การยกระดับมาตรฐานการผลิต (GMP) โดยประสานงานกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด(สสจ.)เข้าไปช่วยแนะนำและอำนวยความสะดวกอย่างใกล้ชิด
2.การพัฒนาความรวดเร็วในการขออนุญาตผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-submission) ให้เท่าทันความต้องการของผู้ประกอบการ 3.การสุ่มตรวจผลิตภัณฑ์อย่างเคร่งครัดเพื่อความปลอดภัยและคุณภาพ และ4.การบูรณาการความร่วมมือเพื่อสร้างระบบนิเวศ โดยร่วมมือกับพันธมิตรเครือข่าย ช่วยกันพัฒนาองค์ความรู้และนวัตกรรมให้สมุนไพรมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับในระดับสากล
“การผลิตสมุนไพรที่ปลอดภัย ต้องมีการจัดการตั้งแต่การคัดเลือกวัตถุดิบ การล้าง การอบแห้ง และการแปรรูป โดยกระบวนการผลิตต้องมีสุขลักษณะอนามัยที่ดี (GMP) เพื่อป้องกันการปนเปื้อนของเชื้อโรค และหากต้องการยืดอายุสามารถนำไปฉายรังสีเพื่อยืดอายุได้”ภญ.สุภัทรากล่าว
ตรวจวิเคราะห์ก่อน-หลังวางตลาด
นพ.สราวุฒิ บุญสุข อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า กรมดูแลเรื่องคุณภาพเพื่อประโยชน์ของประชาชน และสนับสนุนผู้ประกอบการให้เข้าถึงเศรษฐกิจสุขภาพ โดยให้การบริการตรวจวิเคราะห์ 2 ส่วน คือ 1. Pre-testing การตรวจรับรองตามมาตรฐานก่อนการยื่นขอขึ้นทะเบียน อย. หากพบความผิดปกติจะแจ้งผู้ประกอบการให้ไปปรับปรุงแล้วนำกลับมาตรวจซ้ำ เมื่อผ่านก็สามารถนำผลไปยื่นกับอย.ได้
และ2. Post Marketing การเฝ้าระวังหลังผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาด ซึ่งระยะเวลาการเพาะเชื้อใช้เวลาประมาณ 7 วัน และการตรวจยืนยันตามมาตรฐานใช้เวลาประมาณ 2 อาทิตย์ มีห้องปฏิบัติที่ส่วนกลางและอีก 15 ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ทั่วประเทศ
ตลาดโลกทิศทางบวก
ขณะที่นายสิทธิชัย แดงประเสริฐ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมสมุนไพร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(สอท.) กล่าวว่า ตัวเลขผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกองผลิตภัณฑ์สมุนไพร มีมูลค่าหลักหมื่นล้านบาท ทั้งการผลิตในประเทศและการส่งออก โดยการผลิตในประเทศยังสูงกว่าการส่งออก อย่างไรก็ตาม ทิศทางการตลาดโลกของสมุนไพรเป็นบวกอย่างมาก เนื่องจากชื่อเสียงของประเทศไทยและการส่งเสริมเรื่อง Medical Tourism
“ผลิตภัณฑ์ ยาอม ยาดม ยาหม่อง สามารถสร้างการรับรู้ เมื่อนักท่องเที่ยว 1 คนมาเที่ยวไทยก็ซื้อไปเป็นของฝาก กระจายการรู้จักในประเทศเขา นอกจากนี้ยังเป็นผลิตภัณฑ์ที่ขึ้นทะเบียนในต่างประเทศได้ง่ายกว่ายา”นายสิทธิชัยกล่าว







