ต้องเคลื่อนสู่ ‘ยุคป้องกันทุกโรค’ ฝ่าคลื่นสึนามิ...’ระบบสุขภาพ’

การฝ่าคลื่นปัญหาที่เป็น “กับดักระบบสุขภาพ” หรือระบบสาธารณสุขที่ไทยกำลังเผชิญ ต้องก้าวเข้าสู่ยุค 'ป้องกันทุกโรค' แทน 'รักษาทุกโรค'
KEY
POINTS
- ระบบสุขภาพไทยเผชิญวิกฤตจากค่ารักษาพยาบาลที่เพิ่มสูงกว่าการเติบโตของ GDP และการมุ่งเน้นการรักษามากกว่าป้องกัน ทำให้คนไทยเจ็บป่วยด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) จำนวนมาก
- เสนอให้เปลี่ยนกระบวนทัศน์จาก "การตั้งรับรอป่วย" ไปสู่ "ยุคป้องกันทุกโรค" เพื่อรับมือสังคมสูงวัยและสร้างความยั่งยืนให้ระบบสุขภาพ
- ชูแนวคิด "0 บาทป้องกันทุกโรค" โดยเน้นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดต่อสุขภาพ และสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการป้องกันโรค
- การเปลี่ยนสู่การป้องกันจะช่วยลดความแออัดในโรงพยาบาล ลดภาระงานบุคลากร และทำให้คนไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นโดยใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ
“ค่ารักษาพยาบาลไม่มีวันพอ”ด้วยยาและเทคโนโลยีการรักษามีความก้าวหน้า ราคาแพงขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีอัตราเพิ่มขึ้นแซงหน้าการโตของ GDP ส่วนจำนวนผู้ป่วยมากขึ้น บุคลากรภาระงานหนัก โรงพยาบาลมีปัญหาทางการเงิน เหล่านี้ล้วนเป็น “กับดักระบบสุขภาพ” หรือระบบสาธารณสุขที่ไทยกำลังเผชิญ
ที่ผ่านมากล่าวได้ว่า “ระบบสุขภาพ”ของไทยใช้รูปแบบ “ซ่อมนำสร้าง”มาตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายหลังการประกาศนโยบาย “30 บาท รักษาทุกโรค” เมื่อปี 2545 ช่วยให้คนไทยทุกคนเข้าถึงการรักษาพยาบาลฟรี
นับแต่นั้นฝ่ายการเมือง ก็แข่งขันกันเพื่อแย่งคะแนนเสียงด้วยการกระหน่ำ “เพิ่มสิทธิประโยชน์” แม้จะมีบางสมัยที่มีความพยายามประกาศนโยบาย “ซ่อมนำสร้าง” แต่ก็ไม่ได้เกิด “แรงกระเพื่อม”ต่อสังคมมากนัก
ค่ารักษาพยาบาลโตแซงจีดีพี
ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพโตขึ้นทุกปี เมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(GDP) พบว่า ประเทศไทย สัดส่วนรายจ่ายประจำด้านสุขภาพ ต่อ GDP เพิ่มขึ้นจาก 3.39% ในปี 2010 เป็น 3.79% ในปี 2019 และพุ่งขึ้นเป็น 4.36% ในปี 2020 และ 5.16% ในปี 2021
ส่วนค่ารักษาพยาบาล ในปีงบประมาณ 2568 ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล รวม 346,632.1990 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ 2567 จำนวน 35,254.7831 ล้านบาท หรือคิดเป็น 11.32 %
ค่ารักษาพยาบาลที่เพิ่มขึ้น จากปี 2565 - 2568 เฉลี่ย 4.53 % ต่อปี ในขณะที่GDP จากปี 2565 - 2568 เพิ่มขึ้นเพียง 2.0 - 2.5 % ต่อปี
- สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ครอบคลุมประชากรจำนวน 47.157 ล้านคน งบฯ 168,296.8867 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 15,558.6458 ล้านบาท คิดเป็น 10.19 % อัตราเหมาจ่ายรายหัว 3,856.08 บาทต่อราย
- สิทธิประกันสังคม ประมาณการค่าบริการทางการแพทย์ปีงบประมาณ 2568 จำนวน 74,388.94 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ 2567 จำนวน 3,889.67 ล้านบาท คิดเป็น 5.52 % (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 จำนวน 70,499.27 ล้านบาท) ครอบคลุมประชากรจำนวน 14.46 ล้านคน คิดเป็นอัตราเหมาจ่ายรายหัว จำนวน 5,142.92 บาทต่อราย
- สิทธิสวัสดิการข้าราชการ ปีงบประมาณ 2568 ครอบคลุมประชากร 4.81 ล้านคน งบประมาณ 93,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ 2567 ครอบคลุมประชากร 5.03 ล้านคน จำนวน 14,235 ล้านบาท คิดเป็น 17.89 % โดยปี 2568 เฉลี่ยรายละ 19,501.04 บาท เพิ่มขึ้น จำนวน 1,621.16 บาท คิดเป็น 9.07 %
คนไทยกลับสูญเสียปีสุขภาพดี
ขณะที่ใช้งบประมาณด้านสุขภาพสูง แต่เมื่อหันมาดูที่ “สุขภาพคนไทย” ปัจจุบันกลับพบว่า คนไทยเสียชีวิตจาก โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือ โรคNCDs ปีละกว่า 400,000 ราย เฉลี่ยวันละกว่า 1,000 ราย คิดเป็น 81 % ของสาเหตุการเสียชีวิตทั้งหมด สาเหตุมาจากปัจจัยเสี่ยงด้านพฤติกรรม สิ่งแวดล้อม และระบบการเผาผลาญของร่างกาย
ทั้งนี้ ประเทศไทยดำเนินงานตามกรอบ 9 เป้าหมาย ลดโรค NCDs ระดับโลก พบว่า โอกาสการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรจากโรค NCDs มีแนวโน้มลดลงเล็กน้อยจาก 14.8 % ในปี 2553 เป็น 14.6 % ในปี 2565 ค่าเป้าหมายในปี 2568 คือ 11.07 %
ส่วนตัวชี้วัดอื่นๆ มีแนวโน้มลดลงเล็กน้อย ได้แก่ ปริมาณการบริโภคแอลกอฮอล์ต่อหัวประชากรต่อปี ค่าเฉลี่ยปริมาณการบริโภคเกลือโซเดียมต่อคนต่อปี และความชุกของการสูบบุหรี่
คนไทยต้องสูญเสียปีสุขภาวะหรือปีสุขภาพดี 20.5 ล้านปีสุขภาวะ (Dalys) จากสาเหตุหลัก คือ 1. โรคหลอดเลือดสมอง 9.5% 2. อุบัติเหตุทางถนน 7.3% 3. โรคเบาหวาน 6.2% และ 4. โรคไตเรื้อรัง 5.7%
พิจารณาเป็นกลุ่มช่วงอายุ พบว่า กลุ่มเด็กเล็ก อายุ 0-14 ปี เสี่ยงบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางถนนและจมน้ำ กลุ่มวัยรุ่น อายุ 15-29 ปี พบปัญหาทำร้ายตนเอง ติดยาเสพติด และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กลุ่มวัยผู้ใหญ่ อายุ 30-59 ปี และกลุ่มสูงวัย อายุ 60 ปีขึ้นไป ป่วยโรคไม่ติดต่อ (NCDs) มากที่สุด
ในจำนวนนี้ 78% ของการสูญเสียทั้งหมด พบตายก่อนวัยอันควร (Year of life lost due to premature mortality: YLL) นอกจากนี้ ยังพบคนไทยต้องใช้ชีวิตในช่วงบั้นปลายอยู่กับความเจ็บป่วยและความพิการ
ต้องเคลื่อนสู่ยุค “ป้องกันทุกโรค”
ท่ามกลางความท้าทายเชิงโครงสร้างประชากรที่ประเทศไทยกำลังเผชิญหน้ากับ “สังคมสูงวัยโดยสมบูรณ์” ส่วนในปี 2574 จะเป็นสังคมสูงวัยระดับสุดยอดที่จำนวนผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป มากกว่า 28 % ของประชากร และไทยจะเผชิญสึนามิสูงวัยต่อเนื่องราว 20 ปี ไป จนถึงปี 2586
ระบบสุขภาพที่มุ่งเน้นแต่เพียงการ “ซ่อม” หรือการรักษาพยาบาลเมื่อเจ็บป่วย อาจไม่ใช่คำตอบที่ยั่งยืนอีกต่อไป โจทย์สำคัญอยู่ที่ต้องทำให้คนไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดีตลอดช่วงวัย ตั้งแต่เกิด เติบโต ใช้ชีวิตไปจนถึงวาระสุดท้าย
ฉะนั้น การจะทำให้ “ระบบสุขภาพ” หลุดจากกับดักที่เป็นวิกฤติได้ จะต้องเคลื่อนเข้าสู่ “ยุคป้องกันทุกโรค” เพื่อไม่ให้คนไทยโดยเฉพาะวัยหนุ่มสาว ป่วยโรคที่เกิดจากพฤติกรรมหรือป้องกันได้ และชะลอโรคที่เกิดจากความเสื่อมของร่างกายตามวัยให้ช้าที่สุด
เนื่องจากงานวิจัยระบุว่าผลลัพธ์ด้านสุขภาพคนจะดีมากหรือน้อย มีปัจจัยที่เกี่ยวข้อง เป็นระบบบริการเพียง 9 % ,พันธุกรรม 16 % ,สิ่งแวดล้อม 24 % และพฤติกรรมมากที่สุด 51 %
“0 บาทก็ป้องกันทุกโรคได้”
หนึ่งในแนวคิดที่ควรจะต้องนำมาขับเคลื่อนอย่างจริงจัง คือ รัฐบาลต้องกล้าประกาศนโยบาย “0 บาทป้องกันทุกโรค” ซึ่งจะเป็นการ “พลิกโฉม”ครั้งสำคัญเชิงนโยบายสาธารณสุขของประเทศ และเชื่อแน่ว่าฝ่ายการเมืองที่ประกาศเรื่องนี้ จะได้ “คะแนนเสียง” ไม่ต่างจากสมัยการเมือง ประกาศเรื่อง “30 บาทรักษาทุกโรค”
เนื่องจากบริบทสังคมภายหลังผ่านการสู้กับการระบาดใหญ่ของโรคโควิด -19 มาแล้ว มีความรู้ ความเข้าใจเรื่องการ “ดูแลสุขภาพ”มากยิ่งขึ้น และพร้อมที่ประสานพลังร่วมกันที่จะ “ป้องกันการเจ็บป่วยของตนเอง” เพียงแต่อาจจะกำลังรอการสนับสนุนจากรัฐเพิ่มเติม
นพ.สุเทพ เพชรมาก เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ(สช.) ให้มุมมองว่า 0 บาทป้องกันทุกโรคทำได้จริง โดยการเปลี่ยนกระบวนทัศน์จากการตั้งรับรอป่วย มาเป็นการลงทุนป้องกันไม่ให้ป่วย ซึ่งการป้องกันหลายอย่างไม่ต้องใช้เงิน
อย่างเช่น การเลิกบุหรี่, ลดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์, เดินให้มากขึ้นแทนการนั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้าง, กินน้ำเปล่าแทนน้ำหวานสิ่งเหล่านี้ไม่เพียงแต่ทำให้สุขภาพดีขึ้น มีเงินเหลือในกระเป๋า รวมถึง การดูแลอารมณ์ การนอนหลับให้เพียงพอ การสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดีในสังคม
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นการป้องกันโรคที่ไม่ต้องลงทุนด้วยเงิน หรือใช้ 0 บาท แต่ส่งผลมหาศาลต่อสุขภาพกายและใจ แต่การจะทำให้คนเปลี่ยนพฤติกรรมได้ ไม่ใช่แค่การรณรงค์ ต้องอาศัย "ระบบนิเวศ(ecosystem)ที่เอื้ออำนวย" ต้องนำเรื่อง “ เศรษฐศาสตร์พฤติกรรม” มาใช้กลไกจูงใจและลดแรงจูงใจ
เช่น การมอบสิทธิประโยชน์บัตรกำนัลสำหรับการเดินวันละ 10,000 ก้าว หรือ กรณีจ่ายเงินเข้ากองทุนสุขภาพทุกปี แต่ถ้าปีนั้นไม่ป่วย ไม่เคลมเลย ก็คืนเงินจากกองทุนฯ เป็นต้น ซึ่งจะกระตุ้นให้คนหันมาดูแลสุขภาพมากขึ้น ส่วนภาคเอกชน บริษัท องค์กรต่างๆ หากดูแลทำให้พนักงานมีสุขภาพดี ควรจะมีมาตรการ เช่น ลดภาษีหรืออื่นๆ เป็นสิ่งจูงใจเพิ่มเติม หรือ อบต. ที่ดูแลให้ชาวบ้านสุขภาพดี ก็ควรได้รับงบประมาณเพิ่มไปพัฒนาด้านอื่นๆ เป็นต้น
การขับเคลื่อน “ป้องกันทุกโรค” จะทำให้คนไทยสุขภาพดี อัตราการป่วยเข้ารพ.โดยเฉพาะจากโรคที่ป้องกันได้น้อยลง ความแออัดในรพ.จะลดลง รพ.มีศักยภาพรองรับการให้บริการผู้ป่วยที่จำเป็นต้องเข้ารับรักษาเต็มที่ ภาระงานบุคลากรลดลง ไม่เกิดปัญหาด้านงบประมาณประเทศ และระบบสุขภาพยั่งยืน







