รื้อระบบ‘บัตรทองกทม.’ ใช้ ‘โมเดลนพรัตน์’ แต่รพ.ยังไม่พร้อม

ปัญหาระบบบัตรทองกทม. หน่วยบริการขาดดุลในปีงบประมาณ 2567 กว่า 1,018 ล้านบาท คลินิกชุมชนอบอุ่นหลายแห่งถอนตัว มีการเสนอแนวทางรื้อระบบ โดยใช้ "โมเดลนพรัตน์" แต่พบว่ารพ.ยังไม่พร้อม
KEY
POINTS
- ปัญหาบัตรทองกทม. โดยเฉพาะมีการอ้างถึงการบริหารงบประมาณของสปสช. ส่งผลให้หน่วยบริการเผชิญภาวะขาดดุล จนทยอยถอนตัว
- เสนอแนวทางแก้ปัญหาบัตรทองกทม. โดยนำร่องใช้ "โมเดลนพรัตน์" ให้โรงพยาบาลนพรัตนราชธานีเป็นแม่ข่ายบริหารงบประมาณ และการส่งต่อผู้ป่วยแทนคลินิก ในพื้นที่กรุงเทพโซนตะวันออก
- แต่โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี ยังไม่พร้อมที่จะดำเนินการตามโมเดลนี้ในวันที่ 1 พ.ย.2568 คาดว่าสัปดาห์หน้าจะมีการหารือในรายละเอียดความชัดเจนอีกครั้ง
ณ ปัจจุบัน ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร หรือ บัตรทองกทม. จะมี ”คลินิกชุมชนอบอุ่น” ซึ่งเป็นคลินิกที่ขึ้นทะเบียนเป็นหน่วยบริการกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) ทำหน้าในการให้บริการรักษาพยาบาลระดับปฐมภูมิ หากเกินศักยภาพในการดูแลผู้ป่วยจะต้องส่งต่อไปยังรพ.ที่มีศักยภาพรักษาพยาบาลผู้ป่วยได้
สำหรับการจัดสรรงบประมาณบัตรทองรองรับนั้น สปสช.จะโอนค่ารักษาพยาบาลไปให้กับ “คลินิกชุมชนอบอุ่น” และหากมีการ “ส่งต่อ”ผู้ป่วย ส่วนของค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น “คลินิก”จะต้องตามไปจ่ายให้กับรพ.ที่รับส่งต่อ
คลินิกบัตรทองทยอยถอนตัว
ด้วยรูปแบบการบริหารจัดการดังกล่าว ที่ผ่านมาส่งผลให้ผู้ป่วยบัตรทอง พื้นที่กทม. เผชิญปัญหาเรื่องของการ “ส่งตัว” จากการที่คลินิกส่วนหนึ่งไม่ออกใบส่งตัว ทำให้ผู้ป่วยต้องเสียเงินค่ารักษาพยาบาลเองกรณีที่ไปรับบริการที่อื่น
ขณะเดียวกัน คลินิกชุมชนอบอุ่นสะท้อนปัญหาเรื่องการจัดสรรงบประมาณของ สปสช. ซึ่งส่งผลให้หน่วยบริการในกทม. ขาดดุลในปีงบประมาณ 2567 กว่า 1,018 ล้านบาท อ้างว่าเป็นผลมาจากการจัดสรรงบฯ โดยเฉพาะการที่สปสช.คำนวณและจ่ายเงินให้หน่วยบริการ ด้วยการใช้ระบบแต้ม (Point System) ส่งผลมีค่ารักษาพยาบาลจำหนึ่งที่คลินิกต้องแบกรับภาระเอง จนหลายแห่งไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ รวมถึง ยังมีกรณีที่ สปสช. เรียกเงินคืนจากคลินิกด้วย
รื้อระบบบัตรทองกทม.ใช้ ‘โมเดลนพรัตน์’
หนึ่งในข้อเสนอสำหรับแนวทางการแก้ปัญหาการบริหาร “บัตรทองกทม.” คือการนำรูปแบบ “เครือข่ายหน่วยบริการสุขภาพปฐมภูมิ” หรือ CUP (Contracted unit of primary care) แบบที่ดำเนินการในต่างจังหวัด โดยจะนำร่องในโซนกรุงเทพตะวันออก ที่มีคลินิกกว่า30 แห่ง รองรับผู้มีสิทธิบัตรทองกว่า 3 แสนคน เรียกว่า “โมเดลนพรัตน์”
รูปแบบจะมี “รพ.นพรัตนราชธานี” สังกัดกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) เป็นหัวเรือใหญ่ของการบริหารบริการบัตรทองในพื้นที่รับผิดชอบ โดยที่สปสช.จะโอนงบฯในส่วนของ ค่าบริการผู้ป่วยนอก และค่าบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค ในอัตราตามหัวประชากรที่กำหนดไปให้ รพ.นพรัตนราชธานี
จากนั้น รพ.นพรัตนราชธานี ทำหน้าที่จัดสรรเงินส่วนหนึ่งเป็นค่ารักษาพยาบาลให้กับคลินิกในเครือข่าย อีกส่วนหนึ่งกันไว้สำหรับกรณีการ “ส่งต่อ” ทั้งกรณีที่รับส่งต่อมารักษาที่รพ.นพรัตนราชธานี หรือส่งต่อไปหน่วยบริการอื่นในเครือข่าย หรือส่งต่อไปยังหน่วยบริการนอกเขตเครือข่าย และตามจ่าย “ส่งต่อ”
ทว่า ประเด็นสำคัญอยู่ตรงที่ “เงิน”ที่สปสช.จะจัดสรรมาให้รพ.นพรัตนราชธานีบริหารจัดการในเครือข่ายนั้น อยู่ในอัตราเท่าไหร่เต็มเม็ดเต็มหน่วย เพียงพอ จนไม่เป็นภาระของรพ.นพรัตนราชธานีหรือไม่ อย่างงบฯค่าผู้ป่วยนอกที่กำหนดไว้ในปีงบประมาณ 2569 จำนวน 1,448.86 บาทต่อคน จะให้มาทั้งหมดหรือไม่
รวมถึง หากรพ.นพรัตนราชธานี ยอมรับการเป็น “หัวเรือ”ในครั้งนี้ ซึ่งตามมติคณะอนุกรรมการหลักประกันสุขภาพ ระดับเขตพื้นที่ (อปสข.)เขต13 จะให้เริ่มดำเนินการในเดือนพ.ย.2568นั้น แน่ใจหรือไม่ว่าท้ายที่สุดแล้ว “ปัญหาบัตรทองกทม.โซนตะวันออก” จะไม่ถูกโยกจากสปสช.มาโยนกองทับไว้ที่รพ.นพรัตนราชธานี
รพ.นพรัตน์ราชธานียังไม่พร้อมนำร่อง
เมื่อวันที่ 28 ต.ค.ที่ผ่านมา รพ.นพรัตนราชธานี ได้ออกประกาศ ระบุว่า โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี มุ่งเน้นให้บริการการแพทย์ขั้นสูงและทั่วไปแก่ประชาชนในเขตสุขภาพที่ 13 โดยเฉพาะพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลด้านตะวันออก ครอบคลุมประชาชนบัตรทองของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) ในเครือข่ายส่งต่อมากกว่า 340,000 คน
ที่ผ่านมาช่วยแก้ปัญหาให้กับประชาชนที่ถูกยกเลิกสิทธิบัตรทองจากคลินิกและโรงพยาบาลเอกชนในพื้นที่ ทำให้มีภาระงานบริการจำนวนมาก โดยไม่สามารถเพิ่มอัตรากำลังบุคลากร โดยเฉพาะแพทย์และพยาบาลได้อย่างเหมาะสม
เมื่อ สปสช. คลินิกเครือข่ายและโรงพยาบาลนพรัตนราชธานีได้หารือร่วมกัน เพื่อทำให้ระบบบริการของพื้นที่ในเขตพื้นที่รับผิดชอบมีประสิทธิภาพเกิดประโยชน์สูงสุด จึงมีความเห็นจะทดลองการทำนพรัตน์โมเดลขึ้น เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับเครือข่าย เป็นประโยชน์แก่ประชาชนและเป็นการช่วยลดภาระการขาดทุนจากการให้บริการบัตรทองของโรงพยาบาลนพรัตนราชธานี
ขณะนี้กำลังศึกษาข้อมูลและเตรียมพร้อมระบบให้ดีที่สุดก่อน โดยยังไม่พร้อมจะเริ่มดำเนินการในวันที่ 1 พ.ย.2568
แจงเหตุยังไม่พร้อมดำเนินการ
ขณะที่ นพ.ณัฐพงศ์ วงศ์วิวัฒน์ อธิบดีกรมการแพทย์ ให้สัมภาษณ์ว่า รพ.นพรัตนราชธานี ยังไม่พร้อมดำเนินการเรื่องนี้ เนื่องจากอาจกระทบกับคนไข้ คือ 1.คนไข้อาจเดินทางไกล 2. เกิดความอ่อนแอของระบบบริการใกล้บ้านใกล้ใจ และระบบปฐมภูมิไม่เข้มแข็ง คลินิกไม่เข้มแข็ง
อีกทั้ง เกิดผลกระทบกับ รพ.นพรัตนราชธานี โดยอาจจะต้องรับผิดชอบในการตามจ่ายด้วย ในการแก้ปัญหาจึงต้องทำให้คนไข้ได้รับบริการได้สะดวก และสร้างระบบความเข้มแข็งให้กับคลินิกโดยสามารถดูแลคนไข้ได้มากขึ้นและมีศักยภาพมากขึ้น โดยให้รพ.นพรัตนราชธานีเป็นแม่ข่ายในการให้คำปรึกษา
“การให้บริการของรพ.นพรัตนราชธานีในส่วนบริการบัตรทองนั้น เงินที่ได้รับไม่พอกับสิ่งที่จ่ายไป คือรายรับน้อยกว่ารายจ่าย”นพ.ณัฐพงศ์กล่าว
หารือความชัดเจนสัปดาห์หน้า
นพ.ณัฐพงศ์ กล่าวด้วยว่า สิ่งสำคัญถ้าจะเกิดระบบนี้ได้ต้องเกิดความเข้าใจ คือ 1. คลินิกเอกชนรับในหลักเกณฑ์และรับในวิธีการว่าจะต้องเป็นเครือข่ายเชื่อมกับรพ.นพรัตนราชธานี 2. รพ.นพรัตนราชธานี ต้องเตรียมพร้อมกระบวนการภายใน ทั้งเตียง คน และสร้างระบบบริหารการเงินการเรียนรู้ให้ทุกคนอยู่ได้ทั้งคลินิกและรพ.นพรัตนราชธานีซึ่งต้องใช้เวลา
คาดว่า 1-2 เดือนนี้มีความเป็นไปได้ แต่สิ่งสำคัญต้องตกลงรายละเอียดในเรื่องค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น เพราะเดิมรพ.นพรัตนราชธานี รายรับน้อยกว่ารายจ่ายอยู่แล้ว
ทั้งนี้ จากที่มีการพูดคุยพบว่ากระบวนการตรงนี้ยังไม่ลงตัว กระบวนการจัดการภายในยังไม่พร้อมรวมถึง รพ.นพรัตนราชธานี และ สปสช.ยังไม่สามารถพูดเรื่องค่าใช้จ่ายที่จะช่วยดูแลซึ่งกันและกัน เพราะ รพ.นพรัตนราชธานี ต้องมีค่าบริหารจัดการเพิ่มขึ้นจึงต้องมีการวางแผนใหม่
นพ.ณัฐพงศ์ กล่าวด้วยว่า เมื่อ 2 จุดนี้ยังไม่ลงตัว จึงขอเวลาที่จะเตรียมข้อมูลให้ได้มากที่สุด และเพื่อไม่ให้เกิดความขลุกขลัก เพราะเมื่อไหร่ประกาศดำเนินการไปหมายความว่าวันที่คนไข้ไปรักษาที่คลินิก หากรักษาไม่ได้ต้องมารพ.นพรัตนราชธานี อาจจะทำให้เกิดความโกลาหล จึงต้องคุยกับ สปสช.ว่าจะช่วยบริหารจัดการอย่างไร เพื่อไม่ให้โยนภาระไปให้ รพ.นพรัตนฯดูแล คาดว่าจะมีการหารือร่วมกันความชัดเจนอีกครั้งในสัปดาห์หน้า







