ปฏิรูป สปสช. เล็งทบทวนบอร์ด-อนุกรรมการ พร้อมของบโปะค้างจ่าย 5,500 ล้าน

องค์กรแพทย์รพศ./รพท.ยื่น 5 ข้อปฏิรูปสปสช. เผยแนวโน้มดีผู้บริหารเห็นตรงต้องทบทวนบอร์ด-อนุกรรมการ ขณะที่เตรียมนำงบกลาง 5,500 ล้าน ชดเชยค้างจ่าย 2 ปี
KEY
POINTS
- กลุ่มองค์กรแพทย์และโรงพยาบาลเสนอให้ปฏิรูป สปสช. โดยเรียกร้องให้ทบทวนองค์ประกอบและหลักเกณฑ์การคัดเลือกคณะกรรมการและอนุกรรมการฯ
- เสนอขออนุมัติงบประมาณกลางจากคณะรัฐมนตรีจำนวน 5,500 ล้านบาท เพื่อนำไปชดเชยหนี้สินค้างจ่ายของโรงพยาบาลในปี 2566 และ 2568
- รมว.สาธารณสุข, ปลัด สธ. และเลขาธิการ สปสช. เห็นตรงกันในหลักการที่จะทบทวนคณะกรรมการ สปสช. เพื่อให้เกิดการกระจายอำนาจมากขึ้น
เมื่อเวลา 13.30 น.วันที่ 28 ต.ค.2568 ที่สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข(สป.สธ.) ชมรมนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ชมรมโรงพยาบาลศูนย์โรงพยาบาลทั่วไป ชมรมโรงพยาบาลสถาบันกรมการแพทย์ และ คณะกรรมการโรงพยาบาลในกลุ่ม สถาบันแพทย์แห่งประเทศไทยหรือ ยูฮอสเน็ต (Uhosnet) เดินทางเข้าพบนายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รมว.สาธารณสุข และนพ.สมฤกษ์ จึงสมาน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) เพื่อขอหารือและยื่นข้อเสนอการปรับปรุงการดำเนินงานการบริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(กองทุนบัตรทอง)
ทั้งนี้ กลุ่มองค์กรแพทย์และสหสาชาวิชาชีพจากโรงพยาบาลศูนย์/ โรงพยาบาลทั่วไป ขอเสนอให้ ปฏิรูปสปสช. เพื่อกู้วิกฤตโรงพยาบาล
1. เปิดเผยและทบทวนหลักเกณฑ์และวิธีการในการคัดเลือกคณะกรรมการหลักประกัน สุขภาพแห่งชาติ และอนุกรรมการฯ โดยเฉพาะในส่วนของตัวแทนองค์เอกชนและผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อให้มีบุคลากรที่ มีศักยภาพบริหารกองทุนฯ อย่างมืออาชีพ
2. จ่ายค่ารักษาตามจริงและเป็นธรรม คืนค่าใช้จ่ายให้โรงพยาบาลครบถ้วน โดยไม่ดึง เงินเดือนบุคลากรมาหักในกองทุน
3. เปิดเผยการบริหารงบกองทุนบัตรทองต่อสาธารณชน เพื่อความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และ ธรรมาภิบาล
4. หยุดเพิ่มสิทธิประโยชน์ที่ไม่จําเป็นในภาวะที่งบผู้ป่วยใน (IP) ยังไม่เพียงพอ ไม่ควรผลัก ภาระใหม่ในการเพิ่มกองทุนใหม่ให้โรงพยาบาล
5. วางแผนงบประมาณอย่างมีส่วนร่วมต้องให้หน่วยบริการ (provider) มีส่วนร่วมในการ กําหนดและจัดสรรงบ เพื่อความคุ้มค่าและตรงตามความเป็นจริง ถึงเวลาที่ สปสช. ต้องฟังเสียงหน้างาน หากไม่แก้ไข ระบบสาธารณสุขที่ทุกคนภาคภูมิใจ อาจล้มครืนลงในไม่ช้า
ของบ 5,500 ล้านจ่ายหนี้ 2 ปี
พญ.ภาวิณี เอี่ยมจันทน์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสระบุรี ในฐานะประธานชมรมโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป(รพศ./รพท.) กล่าวว่า ท่านปลัดกระทรวงสาธารณสุขได้แจ้งว่า ได้มีการหารือถึงเรื่องงบประมาณปี 2569 โดยจะพยายามจัดสรรงบประมาณ ด้วยการให้ความสำคัญกับกองทุนผู้ป่วยในเป็นอันดับแรก และมีความพยายามในการจัดวงเงินสำหรับ 1 หน่วยสัมพัทธ์ (DRG) ให้ได้ที่ 8,350 บาท อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายจริงจากการศึกษาโดยหลายฝ่ายระบุว่า ต้นทุนจริงอยู่ที่ประมาณ 13,000 บาท
นอกจากนี้ ยังมีการหารือเกี่ยวกับงบประมาณปี 2568 โดยคาดว่าจะขอให้รมว.สาธารณสุขนำเรื่องเข้าสู่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อขอการสนับสนุนงบฯกลางตามที่ขอไป 8,000 ล้านบาทนั้น จะนำมาแบ่งเป็น 2 ส่วน 1.จำนวน 2,000 ล้านบาท เพื่อชดเชยหนี้สินค้างจ่ายของปี 2566 และ2. จำนวน 3,500 ล้านบาท สำหรับจ่ายของปี 2568 เนื่องจากการรักษาพยาบาลมีการทำเพิ่มมากขึ้นและมีการใช้เทคโนโลยีมากขึ้น ทำให้ผู้ป่วยหายเร็วขึ้นและนอนโรงพยาบาลสั้นลง
เล็งทบทวนบอร์ด-อนุกรรมการ
ถามเรื่องการปฏิรูปสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) พญ.ภาวิณี กล่าวว่า ท่านได้แจ้งว่ามีการตกลงกันทั้ง ท่านรมว. ท่านปลัดสธ. และท่านเลขาธิการสปสช.เห็นตรงกันในเรื่องของการที่จะไปทบทวนคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(บอร์ดสปสช.) และอนุกรรมการฯในบอร์ดสปสช. โดยจะจัดทำเงื่อนไขบางอย่างเพิ่มเติม เช่น กำหนด 1 คนเป็นกรรมการได้เพียง 2 คณะ เป็นต้น เพื่อให้เกิดการกระจายอำนาจมากขึ้น ซึ่งในแง่ของกรรมการชุดต่างๆ เสนอว่า ส่วนของเลขาฯต้องมีทั้งส่วน สปสช.และสถานพยาบาล
ต้องบริหารให้อยู่รอดทุกที่ถึงจะดีที่สุด
กรณีที่มีการระบุว่าผู้ให้บริการมีส่วนร่วมในการพิจารณาเรื่องต่างๆอยู่แล้วทั้งในระดับเขตสุขภาพแบบตัวแทนฝ่ายละ 5 คน (5x5)และระดับประเทศ ตัวแทนฝ่ายละ 7 คน(7x7) พญ.ภาวิณี กล่าวว่า คนที่เข้าไปเป็นกรรมการในระดับเขต ส่วนใหญ่จะเป็นนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด(นพ.สสจ.) จะมีผู้อำนวยการโรงพยาบาลท่านเดียว ทั้งที่จุดสุดท้ายของการรักษา พยาบาลจะอยู่ที่สถานพยาบาล ซึ่งผู้ที่เจอปัญหาทั้งหมด จึงควรต้องมีการปรับสัดส่วนเพื่อให้ได้เห็นข้อมูลจริงมากขึ้น
ส่วนกรณีมีการเสนอให้นำเงินบำรุงรพ.รวมทั้งประเทศมาใช้เกลี่ยรวมกันไม่แยกเป็นรายรพ. พญ.ภาวิณี กล่าวว่า ตอนนี้มากกว่า 50% ของโรงพยาบาลสังกัดสธ.ที่มีอยู่ 900 กว่าแห่งเงิน ติดลบ คือ มีเงินบำรุงคงเหลือหลังหักหนี้สินแล้ว น้อยกว่า 5 ล้านบาท ซึ่งในการให้บริการแต่ละสถานพยาบาลจะมีค่าใช้จ่ายที่เป็นของสถานพยาบาลนั้นๆ จะต้องบริหารให้อยู่รอดทุกที่ถึงจะดีที่สุด
ลงบันทึกตรวจไม่ละเอียด กลับถูกหักเงิน
ผู้สื่อข่าวถึงกรณีที่กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพระบุว่าสปสช.มีการสุ่มตรวจใบเบิกเงินบัตรทองพบว่ามีกว่า 900 แห่งที่เบิกเกินจริง พญ.ภาวิณี กล่าวว่า รพ.สธ.ที่มี 900 กว่าแห่งนั้น มีการสุ่มเวชระเบียน 3 % แล้วผลออกมาว่า 80 %ของรพ.ที่ค่าตรวจต่ำกว่าค่าที่เรียกเก็บ นี่คือมีข้อสงสัยว่าทำไมมี 80 % ของรพ.ที่เป็นเช่นนี้ แปลว่ามีการโกงหรือไม่ ส่วนตัวจึงได้เข้าไปดูตรงเงื่อนไข ข้อมูลถึงเหตุที่นำมาสู่ตรงนี้
พบว่า ขั้นตอนในการAudit ค่อนข้างละเอียดเข้มงวดและต้องการความสมบูรณ์มาก โดยเกณฑ์การตรวจสอบต้องการความสมบูรณ์ของเวชระเบียน แต่ในความเป็นจริงเมื่อแพทย์เขียนเวชระเบียนจะระบุเรื่องผลการวินิจฉัย อาจไม่ได้เขียนละเอียดเรื่องการตรวจร่างกาย แต่การรักษาของแพทย์ก็ทำให้คนไข้หายป่วย และเป็นค่ารักษาที่เกิดขึ้นไปแล้ว จึงกลายเป็นว่าเมื่อเขียนเวชระเบียนไม่สมบูรณ์ถูกหักเงิน กลายเป็นเหมือนโกง จึงกำลังมีการปรับปรุงเรื่องนี้กันอยู่
พญ.ภาวิณี กล่าวอีกว่า ในฐานะผู้ปฏิบัติไม่เคยปฏิเสธผู้ป่วย เห็นว่า บัตรทอง เป็นระบบที่ดี ไม่มีใครอยากให้ยกเลิก แต่ต้องยอมรับว่ามีปัญหา อย่างพ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 ใช้มานานกว่า 20 ปี โลกมีการเปลี่ยนแปลง บริบทเปลี่ยนไป จึงต้องมีการทบทวน ทั้งนี้ 1 ในข้อเสนอ คือ การที่สปสช.จะออกนโยบายใดๆ ที่ออกมาจากบอร์ด สปสช. ควรจะมีการหารือกับสถานพยาบาลก่อน ว่าสามารถทำได้จริงหรือไม่ เป็นภาระทั้งการบริการและการเงินจนสถานพยาบาลรับไม่ไหวหรือไม่
“ไม่มีใครคิดอยากยกเลิกบัตรทอง แต่มีปัญหาได้ไม่ใช่หรือ เมื่อโลกเปลี่ยนไป ควรมีการทบทวนหรือไม่ ต้องร่วมมือกันเพื่อให้บริการประชาชนดีที่สุด ทุกคนอยากเห็นระบบบัตรทองมีความยั่งยืน” พญ.ภาวิณี กล่าว







