กลุ่มคนรักหลักประกันฯแฉ รพ.เบิกเงิน 'บัตรทอง' เกินจริงกว่า 900 แห่ง 

กลุ่มคนรักหลักประกันฯแฉ รพ.เบิกเงิน 'บัตรทอง' เกินจริงกว่า 900 แห่ง 

กลุ่มคนรักหลักประกันฯ เผยรพ.มีการเบิกเงินบัตรทองเกินจริง  สุ่มตรวจเจอราว 900 แห่ง  ย้ำรพ.ได้งบฯค่าผู้ป่วยนอกเป็นเงินหมุนเวียน 95 %  กันเงินโรคค่าใช้จ่ายสูง-ตั้งกองทุนย่อยช่วยการันตีผู้ป่วยได้รักษาแน่นอน  ยันผู้ให้บริการมีส่วนร่วมบริหารกองทุนทุกระดับ 

KEY

POINTS

  • กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพเปิดเผยข้อมูลว่า จากการสุ่มตรวจของ สปสช. พบโรงพยาบาลกว่า 900 แห่ง เบิกเงินกองทุนบัตรทองเกินความเป็นจริง
  • การตรวจพบดังกล่าวมาจากการสุ่มตรวจใบเบิกค่ารักษาพยาบาลเพียง 3% ของทั้งหมดในแต่ละโรงพยาบาล
  • มีการระบุว่าเมื่อจะมีการขยายผลตรวจสอบใบเบิกที่เหลืออีก 97% กลับมีความพยายามคัดค้านไม่ให้มีการตรวจสอบเพิ่ม

เมื่อวันที่  27 ต.ค.2568  ที่มูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัย (สลัมสี่ภาค) กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ เปิดเวทีประเด็น การบริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือกองทุนบัตรทอง โดยนิมิตร์ เทียนอุดม กรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติและที่ปรึกษามูลนิธิเข้าถึงเอดส์ ในนามกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ กล่าวว่า  ในช่วงเวลานี้หากประชาชนผู้มีสิทธิบัตรทองไปรับบริการแล้ว ถูกละเมิดสิทธิด้วยการถูกเรียกเก็บเงิน หรือการได้รับยาในปริมาณที่ลดลงจากเดิมหรือที่ควรจะได้รับ เช่น เคยได้ 3 เดือนแล้วได้ยามาใช้ 5-15 วัน โดนรพ.แจ้งว่าสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.)ยังไม่ให้เงินมานั้น 

ขอให้ผู้ป่วยอย่าจ่ายเงินแต่ให้ประสานติดต่อส่วนใดส่วนหนึ่งทันที คือ

1.โทรสายด่วนสปสช. 1330 เพื่อให้เคลียร์ ว่าเกิดอะไรขึ้น 

2.ติดต่อศูนย์คุ้มครองสิทธิบัตรทองที่มีกระจายทั่วประเทศ 100 กว่าแห่ง ซึ่งเป็นภาคประชาชนที่รวมตัวกันทำงานและเป็นอิสระจากสปสช.และหน่วยบริการ 

รพ.ได้ค่าผู้ป่วยนอก 95 % เป็นเงินหมุนเวียน

นายนิมิตร์ กล่าวด้วยว่า  รพ.ที่เป็นหน่วยบริการในระบบบัตรทอง ได้รับงบประมาณปี 2569 ก้อนแรกแล้ว  เพราะเริ่มต้นปีงบฯ 2569ตั้งแต่ 1 ต.ค.2568  โดยสปสช.มีการจ่ายงบฯเหมาจ่ายรายหัว ที่เป็นงบฯส่วนค่าบริการผู้ป่วยนอกไปแล้ว 50 %  ,ในไตรมาส 2 จะมีการโอนอีก 45 %  เท่ากับได้ 95 % เป็นเงินที่ไม่ได้เรียกคืน รพ.มีกระแสเงินสดเป็นเงินหมุนเวียน อีก 5 % จะมีการโอนให้ในไตรมาสที่ 3  เนื่องจากมีเรื่องของการรักษาที่ไหนก็ได้ จะได้ตามไปจ่ายได้ถูกต้อง

ส่วนที่มีการร้องเรื่องขาดทุนคือเรื่องของงบเหมาจ่ายรายหัวในส่วนค่ารักษาผู้ป่วยใน ซึ่งรพ.จะได้เงินต่อเมื่อให้การรักษา แล้วส่งเบิกเงินมาที่สปสช.ก็จะจ่ายให้ตามความยากง่าย ความซ้ำซ้อนของโรค  โดยเป็นงบประมาณปลายปิด ซึ่งรพ.มองว่าสปสช.จ่ายอัตราน้อยทำให้รพ.ขาดทุน
 

“การที่รัฐจัดสร้างรพ.ทุกแห่ง เพราะว่าบริการด้านสาธารณสุข บริการสุขภาพถือเป็นบริการสาธารณะที่มีความสำคัญมาก เป็นบริการของรัฐที่รัฐต้องจัดทำ ไม่ว่าจะกำไรหรือขาดทุน ก็ต้องทำ ต้องจัดให้มี เพราะฉะนั้น บริการนี้โดยหลักการไม่ควรคิดเรื่องกำไร ขาดทุน”นายนิมิตร์กล่าว 

ไม่กระทบเงินเดือนบุคลากร

นายนิมิตร์ กล่าวด้วยว่า ไม่ว่าผู้ป่วยจะไปรักษาพยาบาลมากน้อยแค่ไหน ไม่ได้ทำร้ายข้าราชการ  ความเป็นราชการก็จะได้เงินเดือนแน่ๆ จึงเป็นอาชีพที่มั่นคง และต้องบริหารบริการสาธารณะของรัฐ  อย่างไรก็ตาม ระบบสาธารณสุข มีการพยายามแก้ปัญหาเรื่องสมองไหลของบุคลากรจากภาครัฐไปภาคเอกชนที่ให้ค่าตอบแทนสูงกว่า

โดยกระทรวงสาธารณสุข(สธ.)มีการจ่ายเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายให้กับแพทย์ พยายาล ทันตแพทย์ ที่ทำงานอยู่ในชนบท ไม่ลาออก ไม่เปิดคลินิกส่วนตัว ราว 40,000-50,000 บาทขึ้นกับตำแหน่งวิชาชีพ  แต่บุคลากรในรพ.ศุนย์/รพ.ทั่วไปไม่ได้เงินนี้ จะได้เฉพาะผู้ที่ทำงานอยู่ในรพ.ชุมชน ซึ่งจะได้เงินเดือนบวกด้วยเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่าย 

มีงบค่าเสื่อม -งบค่าใช้จ่ายสูง

ระบบหลักประกันฯยังได้จ่ายที่เป็น “งบค่าเสื่อม” หรืองบลงทุนให้กับรพ.สำหรับซื้อหรือซ่อมแซมอุปกรณ์ หรืออาคารสถานที่ โดยจ่ายต่อหัวประมาณ 100 กว่าบาท คูณด้วยจำนวนประชากรที่รพ.ดุแล เพื่อให้ระบบมีการพัฒนา  เพราะฉะนั้น รพ.ไม่ควรคคิดเรื่องเจ๊ง เพราะมีการจ่ายทั้งเงินเดือน และค่าเสื่อม

รวมถึง เรื่องยาแพง การรักษาที่มีค่าใช้จ่ายสูง ระบบมีการตั้งงบค่าใช้จ่ายสูงรองรับราว 14,000-15,000 ล้านบาทต่อปีทุกปี เป็นเงินที่กันไว้ส่วนตรงกลาง ในการต่อรองราคาและจัดซื้อยาและอุปกรณ์ที่จะเป็น เมื่อรพ.มีความจำเป็นต้องใช้กับผู้ป่วยก็สามารถมาเบิกไปได้  อย่างเช่น เส้นเลือดเทียม

การที่ต้องกันงบฯส่วนนี้ไว้ตรงกลางไม่กระจายไปทุกรพ. เพื่อการันตีว่าประชาชนจะได้รับการรักษาในโรคที่มีค่าใช้จ่ายแพง และกระจายความเสี่ยงให้รพ. ไม่ให้เดือดร้อน  ซึ่งหากกระจายงบนี้ไปไว้ทุกรพ. จะทำให้รพ.ที่รักษาผู้ป่วยโรคค่าใช้จ่ายสูงจำนวนมากอาจเข้าเนื้อรพ.

ตั้งงบกองทุนย่อยเพื่อบริหารความเสี่ยง 

สำหรับที่มีการระบุว่าสปสช.บริหารห่วยและตั้งกองทุนย่อย ทำให้รพ.ได้งบประมาณน้อย ขอให้มีการยกเลิก เพื่อทำให้รพ.ได้เงินมากขึ้น  นายนิมิตร์ กล่าวว่า  กองทุนมีงบนอกเหมาจ่ายรายหัว 2 กองหลัก คือ กองทุนไตวายเรื้อรัง ที่ได้งบจาก 4,000 ล้านบาท ขยับเป็น 17,000 ล้านบาท และกองทุนเอชไอวี/เอดส์ ราว 3,000-4,000 ล้านบาท ซึ่งการมีกองทุนย่อยแบบนี้ ไม่ได้ทำให้งบเหมาจ่ายรายหัวของรพ.ลดลง เพราะว่าตั้งงบขาขึ้นแยกกันตั้งแต่ต้น ส่วนนี้เป็นกองทุนเฉพาะ

“มีคนบอกว่า ถ้าไม่ตั้งกองทุนย่อย เงินทั้งหมดก็จะมาอยู้ในงบเหมาจ่ายรายหัว แต่ความจริงคือถ้าไม่มีกองทุนย่อยนั้น สำนักงบประมาณก็ไม่ได้ให้งบเหมาจ่ายฯเพิ่มขึ้น เพราะคิดมาแล้วว่างบรายหัวต้องได้จำนวนเท่าไหร่ เพราะฉะนั้น การตั้งกองทุนโรคเฉพาะ เพื่อบริหารความเสี่ยง เป็นหลักประกันว่า เมื่อเจอโรคเหล่านี้ระบบจะดูแลประชาชน”นายนิมิตร์กล่าว  

ผู้ให้บริการมีส่วนร่วมทุกระดับ อย่าโยนบาป

นายนิมิตร์ ย้ำว่า  ค่าใช้จ่ายค่ารักษาพยาบาลนั้น เงินเท่าไหร่ก็ไม่พอ เพราะค่ารักษาแพงขึ้นเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น หน่วยบริการต้องให้ข้อมูลสปสช.ทั้งหมด ซึ่งในกระบวนการพิจารณาการให้บริการต่างๆนั้น ฝั่งผู้ให้บริการมีส่วนร่วมอยู่แล้วในทุกระดับ ตั้งแต่เขตสุขภาพมีตัวแทนฝ่ายละ 5 คนเรียกว่า  5x5 และระดับประเทศ 7 x7 มีผู้แทนสธ.และสปสช.ฝ่ายละ 7 คน  ฉะนั้น เงินจะจ่ายผู้ป่วยในเท่าไหร่ ถ้ามีการเสนอลดลงมาหากไม่ผ่าน 7x7 นี้ก็ไปต่อไม่ได้ สปสช.ทำอะไรไม่ได้ 

รวมถึง ในคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(บอร์ดสปสช.)มี 30 คน มีภาคประชาชนอยู่เพียง 5 คน  เพราะฉะนั้น ผู้ให้บริการมีส่วนร่วมในการคิดวางแผน ทุกขั้นตอน ทุกระดับก่อนจะออกประกาศมาใช้

“จะบอกว่าเงินไม่พอเพราะสปสช.บริหารไม่ดี  ก็ขอให้กลับไปมองตัวเองว่า คุณอยู่ในกระบวนการคิด ในการตัดสินใจทุกขั้นตอน ซึ่งผู้ให้บริการถือเป็นเสียงส่วนหใญ่มากในระบบหลักประกันฯ ถ้าผู้ให้บริการไม่เห็นด้วย มติบอร์ดก็ไม่ผ่าน เพราะฉะนั้นร่วมคิดมาตลอด อย่าโยนบาป”นายนนิมิตร์กล่าว

ตรวจพบว่ารพ.เบิกเงินเกิน 900 กว่าแห่ง

นายนิมิตร์ กล่าวอีกว่า สำหรับค่ารักษาผู้ป่วยใน เงินไม่พอส่วนหนึ่งที่สำคัญแต่ไม่เคยถูกตั้งคำถาม คือ ค่าใช่จ่ายผู้ป่วยในที่รพ.เรียกเก็บสมเหตุสมผลหรือไม่  โอเวอร์เกินไปหรือไม่  จึงต้องคุยกันว่าต้องดูต้นทุนอย่างไร หรือกำกับการเบิกจ่ายให้สมเหตุสมผล สะท้อนต้นทุนจริงอย่างไร

ขณะนี้ทราบว่ากำลังมีการวิจัย เพื่อดูการบริหารจัดการกองทุนหลักประกันสุขภาพภาพรวม หนึ่งในหัวข้อสำคัญ คือ ดูเรื่องลดต้นทุนค่าใช้จ่ายในหน่วยบริการ เพราะหากไม่มีการคุมหรือกำกับก็จะไปเรื่อย เพื่อให้ค่าใช้จ่ายตรงไปตรงมา

“จากที่สปสช.สุ่มตรวจโดยเอาใบเบิกของรพ.มา 3 %ของใบเบิกทั้งหมดในแต่ละแห่ง ถ้ารพ.มีใบเบิกน้อยกว่า 3 % ก็เอามาทั้งหมด พบว่ามีการเบิกที่ผิดปกติ เกินกว่าความเป็นจริงหลายตังค์แต่ยังไม่ขอบอกตัวเลข โดยเจอว่าเบิกเกินไป 900 กว่าแห่ง แบบนี้เงินที่ไหนจะพอ”นายนิมิตร์กล่าว   

นายนิมิตร์ กล่าวด้วยว่า เมื่อจะมีการขยายผลตรวจอีก 97 %ก็มีการออกมาเรียกร้องและคัดค้านไม่ให้มีขยายผลตรวจเพิ่ม ซึ่งสปสข.ก็ยอมไม่ตรวจ ส่วนเขตสุขภาพใดจะนำผลสุ่มตรวจไปขยายผลอย่างไรต่อไปก็ขึ้นกับเขตนั้นๆ  เพราะฉะนั้น ต้องกลับไปดูการบริหารจัดการภายในของรพ.ที่เบิกเกินไปมากด้วย

หน่วยบริการเพียง 10 แห่งให้ข้อมูลต้นทุน

ขณะที่  รศ.ภญ.ดร.ยุพดี ศิริสินสุข รองเลขาธิการสปสช. กล่าวว่า การจะทำให้การของบฯขาขึ้น สามารตั้งงบบประมาณถูกต้องที่สุด จะต้องเป็นความร่วมมือของสปสช.กับหน่วยบริการ เนื่องจากมีการนำค่าบริการจริงที่ส่งเข้ามาที่สปสช.ในการคิดคำนวณทำงบฯขาขึ้น ฉะนั้น แนวทางแก้ปัญหาค่าใช้จ่ายจริงที่หน่วยบริการได้ไม่เพียงพอ ทำให้รพ.รับภาระไม่ไหว ต้องทำข้อมูลด้วยกันเพราะเป็นอาวุธที่สำคัญ ซึ่งประโยชน์จะตกกับประชาชน และรพ.ไม่ต้องมาเจอปัญหานี้แล้ว

รศ.ภญ.ดร.ยุพดี  กล่าวด้วยว่า สปสช.พยายามทำความร่วมมือกับหน่วยบริการ เพื่อทำเรื่องต้นทุนบริการ ก็เป็นไปได้ว่าไม่มีใครอยากร่วมเท่าไหร่ เพราะค่าใช้จ่ายบริการและต้นทุนดูจะเป็นความลับของหน่วยบริการ ไม่อยากเปิดเผย ตั้งแต่ตนมาทำงานกับสปสช.มีประมาณ 10 แห่งที่พร้อมทำต้นทุนกับสปสช. จึงต้องขอให้เปิดข้อมูลที่แท้จริงมาหารือกัน

สิ้นไตรมาส 3 ปีงบฯ 2568 ราวเดือน มิ.ย. 2568 ข้อมูลของสธ.มีรพ. 58 แห่งเงินขาดสภาพคล่อง คือรายรับไม่พอรายจ่าย แต่อีกกว่า 800 แห่งมีเงินเหลือรวมกันกว่า 28,000 ล้านบาท  ส่วนเงินที่ขาดทุนราว 2,000 กว่าล้านบาท  แสดงว่าไม่ใช่เงินระบบไม่มี 

"เงินที่มีอยู่ควรนำมาใช้อย่างเหมาะสม จะมีการช่วยเหลือเกื้อกูลกันอย่างไรในรพ.สธ. เช่น จังหวัดเดียวกัน เขตสุขภาพเดียวกัน เพราะเงินนั้นไม่ใช่เงินของรพ.ใดรพ.หนึ่งแต่คือเงินจากภาษี”รองเลขาฯสปสช.กล่าว