ปมบัตรทอง 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' ออกแถลงการณ์ จะไม่ยอมให้บิดเบือน

ปมบัตรทอง 'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' ออกแถลงการณ์ จะไม่ยอมให้บิดเบือน

'กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ' ออกแถลงการณ์ เรื่อง ปกป้องหลักประกันสุขภาพของคนไทยจากการบิดเบือนข้อเท็จจริง และการทำลายความเชื่อมั่นของสังคม ระบุว่า หลักประกันสุขภาพ ไม่มีทางล้ม

เมื่อวันที่ 22 ต.ค.2568 “กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ” ออกแถลงการณ์เรื่อง ปกป้องหลักประกันสุขภาพของคนไทยจากการบิดเบือนข้อเท็จจริง และการทำลายความเชื่อมั่นของสังคม ระบุว่า หลักประกันสุขภาพ ไม่มีทางล้ม เพราะเป็นกฎหมายที่มีเจตนารมณ์เป็นหลักประกันด้านสุขภาพของประชาชนทุกคน
ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ “บัตรทอง” คือการประกันศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของคนไทยทุกคน ตลอด 20 ปีที่ผ่านมาระบบนี้ทำให้ประชาชนไม่ว่าจะยากดีมีจนสามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาลโดยไม่ต้องล้มละลาย นี่คือหนึ่งในนโยบายสาธารณะที่ลดความเหลื่อมล้ำได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย 

แต่ในช่วงที่ผ่านมาได้มีบุคคลบางกลุ่ม โดยเฉพาะนักการเมืองและสมาชิกวุฒิสภาบางรายออกมาให้ข้อมูลและวิพากษ์ระบบบัตรทองอย่างบิดเบือน กล่าวหาว่า สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) จ่ายเงินล่าช้า บีบงบประมาณของโรงพยาบาล และเรียกเงินคืนจากโรงพยาบาล “มากถึง 33 เท่า” ซึ่งทั้งหมดนี้ เป็นข้อมูลที่คลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริงอย่างสิ้นเชิง

ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติไม่ใช่โครงการสงเคราะห์ แต่เป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน รัฐมีหน้าที่จัดให้ประชาชนได้รับการรักษาที่จำเป็นอย่างเท่าเทียม การดูแลคนป่วย คนพิการ คนชรา และผู้ยากไร้ คือการลงทุนในศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ไม่ใช่ภาระทางการคลังตามที่บางฝ่ายพยายามสร้างวาทกรรมบิดเบือน เพราะโรงพยาบาลคือหน่วยงานของรัฐ มีหน้าที่จัดบริการสาธารณะให้ประชาชน ใช้กระเป๋าเงินใบเดียวกันคือภาษีจากประชาชนทุกคน การใช้วาทกรรมโรงพยาบาลขาดทุนแบบเหมารวม

ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขระบุว่า โรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขทั้ง 902 แห่งปัจจุบันมีทุนสำรองสุทธิกว่า 102,199 ล้านบาท และมีเพียง 58 แห่งที่มีทุนติดลบประมาณ 575.7 ล้านบาท

การติดลบของโรงพยาบาลมีเหตุปัจจัยแต่ละแห่งไม่เหมือนกัน บางแห่งเป็นโรงพยาบาลขนาดเล็ก ประชากรน้อยเงินจัดสรรก็น้อยตาม บางแห่งก็อยู่ที่ระบบบริหารจัดการ และที่สำคัญบุคคลากรของโรงพยาบาลต่างก็ได้รับเงินเดือนที่แยกต่างหากจากเงินเหมาจ่ายค่ารักษาอยู่แล้ว เพื่อการันตีว่าทุกคนจะได้เงินเดือน

ในขณะที่ สปสช. เป็นเพียงหน่วยงานที่ต้องนำงบประมาณที่ได้รับจากรัฐต่อปีมาบริหารจัดการตามวงเงินจำกัดที่ได้รับ โดยมีคณะกรรมการที่มาจากทุกส่วน ตัวแทนโรงพยาบาลรัฐและเอกชน ฝ่ายกระทรวงสาธารณสุข นักวิชาการ นักการเมือง และภาคประชาชน จะเป็นผู้ตัดสินใจร่วมกันว่าจะใช้จ่ายเงินแต่ละปีแบบไหน และใช้ในสิทธิประโยชน์ใดบ้าง หากเงินไม่พอคือหน้ารัฐบาลที่ต้องจัดสรรเงินเพิ่ม 
การตรวจสอบเวชระเบียน หรือ Audit ของ สปสช. เป็นกระบวนการตรวจสอบว่า ข้อมูลการเบิกจ่าย ตรงกับบริการที่เกิดขึ้นจริงหรือไม่ มิใช่การ “ลงโทษ” หรือ “เรียกคืนเงิน” อย่างที่บางฝ่ายกล่าวอ้าง โดยสปสช.จะดำเนินการ สุ่มตรวจ 3% หรือไม่น้อยกว่า 300 เวชระเบียน เพื่อเปรียบเทียบกับบริการจริง หากพบว่าการบันทึกข้อมูลมีความคลาดเคลื่อน

เช่น บันทึกมากกว่าที่ให้บริการจริง → จะให้ตัดส่วนเกินออก และคำนวณน้ำหนักสัมพัทธ์ (AdjRW) ใหม่ ทำให้ค่าชดเชยลดลง หรือบันทึกน้อยกว่าที่ให้บริการจริง → จะให้เพิ่มเติมข้อมูล และคำนวณน้ำหนักสัมพัทธ์ใหม่ ทำให้ได้รับค่าชดเชยเพิ่มขึ้นได้

ดังนั้น ผลของการตรวจสอบจะมีทั้งการปรับเพิ่มและปรับลด เพื่อให้การจ่ายเงินสะท้อนบริการจริง ไม่ใช่การ “เรียกเงินคืนเข้ากองทุน” แต่อย่างใด การตรวจสอบความถูกต้องในการเบิกจ่ายในลักษณะนี้เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมของการเบิกจ่าย ซึ่งมีการดำเนินการเช่นเดียวกันในระดับสากล เงินที่ได้จากการตรวจสอบ สปสช.จะไม่หักเงินกลับเข้ากองทุนกลาง แต่จะปรับการจ่ายภายในแต่ละเขตสุขภาพให้โรงพยาบาลที่ทำได้อย่างมีคุณภาพและบันทึกข้อมูลถูกต้องได้รับเงินเพิ่ม ส่วนโรงพยาบาลที่มีข้อมูลคลาดเคลื่อนจะถูกปรับลดตามสัดส่วนจริง นี่คือกลไกเพื่อให้ “การจ่ายเงินเป็นธรรม และสะท้อนผลงานบริการที่แท้จริง” ภายใต้ข้อจำกัดของงบประมาณที่รัฐบาลจัดสรรรายปี

การสุ่มตรวจ 3% เป็นเพียง “ตัวอย่าง” เพื่อหาความคลาดเคลื่อนของข้อมูล หากพบว่าความคลาดเคลื่อนเกิน 3% สปสช.จะนำ “อัตราความคลาดเคลื่อน” นั้น ไปปรับในเวชระเบียนส่วนที่เหลือ 97% เพื่อสะท้อนความถูกต้องในภาพรวม เช่น หากพบว่า AdjRW สูงเกินจริงเฉลี่ย 5% สปสช.จะปรับลดน้ำหนักในส่วนที่เหลือลง 5% เท่านั้น

ไม่ใช่การคูณ “33 เท่า” หรือเรียกคืนเงินทั้งหมดอย่างที่มีการกล่าวอ้าง การพูดว่า “เรียกคืน 33 เท่า” จึงผิดทั้งทางคณิตศาสตร์และหลักการตรวจสอบเพราะสปสช.ไม่ได้หักเงินคืนเข้ากองทุน แต่ปรับ “ให้ตรงกับบริการจริง”เพื่อความเป็นธรรมระหว่างโรงพยาบาลในแต่ละเขต และเพื่อคงไว้ซึ่งคุณภาพบริการต่อประชาชน

เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อมีการตรวจพบความคลาดเคลื่อนในการเบิกจ่าย ซึ่งมีความเสียหายต่องบประมาณของระบบ และมีการเสนอให้ตรวจส่วนที่เหลือ 97% กลับได้รับการต่อต้านจากคนบางกลุ่ม บางหน่วยบริการ ที่ไม่ต้องการให้มีการตรวจสอบ ทั้งๆที่สิ่งนี้เป็นการพิสูจน์ความโปร่งใสขององค์กรภาครัฐที่ต้องพึงกระทำ

เมื่อผู้มีอำนาจทางการเมืองออกมาให้ข้อมูลโดยไม่ตรวจสอบข้อเท็จจริง ผลที่เกิดขึ้นไม่ใช่เพียงความเข้าใจผิดในสังคมแต่ยังบั่นทอนความเชื่อมั่นของประชาชนต่อระบบที่ปกป้องชีวิตคนไทยมานับสิบปี เป็นความพยายามสาดสีให้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติกลายเป็นจำเลยของสังคม ทั้งยังส่งผลให้คนไข้บางรายอาจลังเลที่จะเข้ารับการรักษาเพราะกลัวว่าสิทธิ์จะถูกลด หรือต้องจ่ายเงินเพิ่ม ขณะที่บุคลากรทางการแพทย์ต้องเผชิญความไม่ไว้วางใจ ทั้งที่พวกเขาทำงานเพื่อประชาชนทุกวัน

กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพขอเรียกร้องให้ทุกฝ่าย โดยเฉพาะนักการเมือง สมาชิกวุฒิสภา และสื่อมวลชน ตรวจสอบข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้านก่อนแถลงหรือให้ข่าว การพูดโดยปราศจากข้อเท็จจริง คือ การบั่นทอนศรัทธาของประชาชนต่อระบบที่ช่วยชีวิตคนไทยกว่า 48 ล้านคน เรายินดีเปิดเผยข้อมูลทุกประการเพื่อให้สังคมเข้าใจความจริง แต่จะไม่ยอมให้การบิดเบือนหรือผลประโยชน์ทางการเมืองมาทำลายสิทธิการรักษาของประชาชน