เจาะตลาดกลุ่ม 'เอเชียใต้' ดึงเข้ารับบริการสุขภาพในไทย ทิศทางเติบโต

สธ.เหยียบคันเร่ง ‘เมดิคัลอีโคโนมี” รุกขยายตลาดบุกกลุ่มเอเชียใต้ ศรีลังกา ปากีสถาน บังกลาเทศ มัลดีฟส์ เผยมีกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อถึง 10% ภาคเอกชนชี้เอเชียกลาง-เอเชียใต้ทิศทางแนวโน้มเติบโต
เมื่อวันที่ 22 ต.ค.68 ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รมว.สาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังประชุมร่วมกับสมาคมโรงพยาบาลเอกชนว่า Medical Economy เป็นนโยบายหนึ่งของ สธ.ที่จะดำเนินการ ซึ่งภาคสาธารณสุข การแพทย์ของไทยเป็นอุตสาหกรรมที่มีความแข็งแรง มีความล้ำหน้าทั้งทางเทคโนโลยี รวมถึง บริการทางการแพทย์ มาตรฐานการรักษาของเราอยู่ในระดับสูง ทั้งสิ่งอำนวยความสะดวก แพทย์ พยาบาล ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาได้รับการสนับสนุนจากทางภาคเอกชน มีความร่วมมือในระดับที่น่าพอใจ
เพียงแต่ว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจสุขภาพ อยากจะเหยียบคันเร่งตรงนี้ให้เกิดความราบรื่น และไปได้เร็วมากขึ้น จึงได้ชวนภาคเอกชนไปบุกตลาดใหม่ๆ รวมถึง การนำเสนอผลิตภัณฑ์ยาทั้งแผนไทยที่เรามีความชำนาญ มีองค์ความรู้นำออกไปสู่ต่างประเทศ ซึ่งได้รับความสนใจจากภาคเอกชน และได้มีการออกไปบุกต่างประเทศในหลายประเทศอยู่แล้ว เพียงแต่ประสบการณ์ที่ออกไปบางส่วนยังมีข้อจำกัด
หลายเรื่องที่หารือก็มีประโยชน์ที่จะสามารถร่วมมือกัน ซึ่ง สธ.สามารถร่วมกับภาคเอกชนออกตลาดร่วมกัน และทลายขีดจำกัดหลายอย่าง เช่น ระยะเวลาในการขอวีซ่า หรือการขอตรวจสอบว่าเป็นผู้ป่วยจริง หรือการอัปเซลลิ่ง (ยกระดับการขาย) นอกจากการมารักษาแล้วจะได้ไปท่องเที่ยวหรืออะไรที่ไหนต่างๆ ร่วมด้วย เป็นส่วนหนึ่งที่ได้มีการหารือกัน ส่วนปลายทางคิดว่าอยากจะให้ภาคสาธารณสุขทั้งในส่วนของบริการการรักษา ยา หรือเวชภัณฑ์อุปกรณ์ กลายเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
เมื่อถามว่าตลาดใหม่ที่จะไปบุก เล็งประเทศใดภูมิภาคไหนเป็นพิเศษ นายพัฒนา กล่าวว่า อันดับแรกมองเอเชียใต้ อาทิ ศรีลังกา ปากีสถาน บังกลาเทศ มัลดีฟส์ ซึ่งประเทศเหล่านี้มีระยะในการใช้เวลาบินประมาณ 3-3.5 ชั่วโมง น่าจะเป็นอีกกลุ่มตลาดที่น่าสนใจ รวมๆ 3-4 ประเทศดังกล่าวมีประชากรประมาณ 300-400 ล้านคน ที่มีกำลังซื้อที่เราประมาณการสัก 10% ก็จะอยู่ประมาณ 40 ล้านคน
"เป็นกลุ่มตลาดที่น่าสนใจ และกลุ่มตลาดนี้ก็มีความสัมพันธ์อันดีกับประเทศไทยเป็นอย่างมาก ซึ่งการดำเนินการตรงนี้สามารถขับเคลื่อนได้เลย โดยจะตั้งคณะทำงานร่วมกันทั้งภาครัฐ และเอกชน ส่วนปัญหาต่างๆ ที่อาจจะมีในแง่ของกฎหมายกฎระเบียบก็ไปทลายร่วมกัน"นายพัฒนากล่าว
ด้าน นพ.ไพบูลย์ เอกแสงศรี นายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน ให้สัมภาษณ์ถึงข้อเสนอจากภาคเอกชนว่า มีการเสนอเรื่องที่ยังเป็นอุปสรรคบางอย่าง เช่น วีซ่า และการเข้าเมือง แม้จะมีฟรีวีซ่า แต่ข้อจำกัดด้านระยะเวลาในการขอวีซ่าสำหรับกลุ่มผู้ป่วยบางประเทศ ส่งผลให้ผู้ป่วยกลุ่มนี้เลือกเดินทางเข้ารับการรักษาในประเทศอื่นที่ได้รับวีซ่าเร็วกว่า เพราะเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสามารถเลือกได้ หากมีการปรับแก้ไข จะเป็นปัจจัยสำคัญในการดึงดูดผู้ป่วยจากตลาดโลกที่เป็นคู่แข่ง อาทิ สิงคโปร์ มาเลเซีย และอินเดีย
นพ.ไพบูลย์ กล่าวด้วยว่า ภาคธุรกิจบริการสุขภาพของไทยมีจุดเด่นด้านคุณภาพการรักษาในราคาที่เข้าถึงได้ ฉะนั้น หากมีการขจัดอุปสรรคบางเรื่องก็จะช่วยในการขับเคลื่อนมากขึ้น ที่จะดึงคนเข้ามารับบริการในประเทศไทย เพราะก่อนช่วงโควิด-19 มีมูลค่าสูงถึง 4-5 แสนล้านบาท แต่ยังไม่ได้มีการบุกตลาดอย่างจริงจังในระดับที่ควรจะเป็น
การที่ สธ.ได้เชิญผู้เกี่ยวข้องเข้ามารับฟังปัญหา พร้อมรับปากว่าจะเป็น ผู้อำนวยความสะดวก (facilitator) ในกระบวนการต่างๆ เพื่อผลักดันให้เกิด Medical Hub และเสริมสร้าง Medical Economy กลายเป็นธงของประเทศในการสร้างรายได้ ซึ่งตลาดเป้าหมาย กลุ่มประเทศเอเชียกลาง และเอเชียใต้ มีแนวโน้มทิศทางของการเติบโตมากขึ้น
“มีการตั้งคณะทำงานร่วมกัน เพื่อเข้ามาช่วยดูแล และแก้ไขปัญหาวีซ่า และข้อติดขัดอื่นๆ ที่เป็นอุปสรรค อย่างประเด็นเรื่องวีซ่าสำหรับกลุ่มที่ต้องการเข้ามารับบริการเรื่อง Wellnessนั้น การขอวีซ่าสำหรับการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันจะทำได้ง่ายหรือไม่ หรืออาจยังต้องใช้การเดินทางแบบนักท่องเที่ยวเช่นเดิม” นพ.ไพบูลย์ กล่าว
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







