'ภูมิรัฐศาสตร์โลก' ผันผวน ปั่นป่วน ซ้ำเติม'วิกฤตสุขภาพชายแดน'  

'ภูมิรัฐศาสตร์โลก' ผันผวน ปั่นป่วน ซ้ำเติม'วิกฤตสุขภาพชายแดน'  

แรงสั่นสะเทือนทางการเมืองโลก ซ้ำเติมวิกฤตสุขภาพชายแดน  ไทยเร่งนโยบายอนุญาตผู้หนี้ภัยเป็นแรงงานถูกกฎหมาย  ชงตั้ง 'กองทุนสุขภาพชายแดน” สร้างความมั่นคง

KEY

POINTS

  • ความขัดแย้งในเมียนมาและการยุติบทบาทขององค์กรช่วยเหลือระหว่างประเทศ (IRC) ทำให้ไทยต้องรับภาระดูแลสุขภาพผู้หนีภัยกว่า 200,000 คนตามแนวชายแดน
  • กระทรวงสาธารณสุขของบประมาณ 160 ล้านบาท เพื่อรับมือช่วงเปลี่ยนผ่าน โดยจะจัดทำหลักประกันสุขภาพและจัดตั้งศูนย์สุขภาพชายแดน (BHC)
  • รัฐบาลออกมาตรการเชิงรุก อนุญาตให้ผู้หนีภัยทำงานนอกพื้นที่พักพิงได้ พร้อมมีข้อเสนอผลักดันการจัดตั้ง "กองทุนความมั่นคงทางสุขภาพ" เพื่อลดการพึ่งพิงเงินทุนจากต่างประเทศ

สถานการณ์ความผันผวนทางการเมืองโลก อย่างเหตุการณ์การสู้รบในประเทศเมียนมา ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการบริหารจัดการพื้นที่ชายแดนของประเทศไทย ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ระบุว่า มีผู้หนีภัยจากการสู้รบจากเมียนมาอาศัยอยู่ในพื้นที่พักพิงชั่วคราวตามแนวชายแดนใน 4 จังหวัด คือ แม่ฮ่องสอน ตาก และกาญจนบุรี ประมาณ 200,000 คน

วิกฤตด้านมนุษยธรรม ทวีความซับซ้อนขึ้น เมื่อองค์กร International Rescue Committee (IRC) ซึ่งเคยทำหน้าที่ดูแลด้านสุขภาพในพื้นที่พักพิงชั่วคราวสำหรับผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมา 7 แห่งใน 4 จังหวัด ได้ยุติการให้บริการลงตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2568

เป็นผลมาจากการที่ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่ง ส่งผลให้องค์กร IRC ประสบปัญหาเรื่องสภาพคล่อง และการตัดสินใจของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ระงับการดำเนินการของสำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ (USAID) ส่งผลกระทบต่อกลุ่มประชากรอพยพบริเวณชายแดนไทย-เมียนมาเช่นกัน

ของบ 160 ล้านบาท รับมือช่วงเปลี่ยนผ่าน

การยุติบทบาทนี้ ทำให้ประเทศไทยต้องรับภาระในการดูแลสุขภาพของผู้หนีภัย โดยอัตโนมัติ ซึ่งสธ.ได้มีการหารือกับหน่วยงานระหว่างประเทศ เช่น องค์การอนามัยโลก (WHO) องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JICA) และสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) เพื่อสร้างความร่วมมือและขอรับการสนับสนุนในการดูแลสุขภาพผู้หนีภัย

ช่วงระยะเปลี่ยนผ่าน ระหว่าง 1 ตุลาคม 2568 - 30 กันยายน 2569 สธ.ได้จัดทำแนวทางการดูแลด้านสาธารณสุขรองรับเป็นระยะเวลา 12 เดือน เพื่อให้การจัดบริการเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง และสร้างความเชื่อมั่นให้กับนานาประเทศว่าไทยสามารถบริหารจัดการด้านมนุษยธรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ระยะแรกได้มีการเตรียมการของบกลางประมาณ 160 ล้านบาท เพื่อมาใช้ในการดูแลกำหนดออกเป็น 2 แนวทางหลัก คือ

1.การจัดทำหลักประกันสุขภาพเหมาจ่ายรายหัว (Health Insurance Model) สำหรับผู้หนีภัย เพื่อลดผลกระทบจากค่าใช้จ่ายที่ไม่สามารถเรียกเก็บได้ โดยจะใช้เกณฑ์จากประกาศคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2568 เป็นแนวทางในการคิดค่าเหมาจ่ายรายหัว

2. การจัดตั้งศูนย์สุขภาพชายแดน (Border Health Center: BHC) เพื่อลดภาระงานของบุคลากรทางการแพทย์ไทย และลดข้อจำกัดในการเข้าถึงบริการสุขภาพจากอุปสรรคด้านภาษา โดยศูนย์ BHC จะมีการจ้างบุคลากรต่างชาติเข้ามาเป็นผู้ให้บริการโดยตรง รวมถึงพัฒนาศักยภาพพนักงานสาธารณสุขต่างด้าว (พสต.) และอาสาสมัครสาธารณสุขต่างด้าว (อสต.) เพื่อให้สามารถสนับสนุนการทำงานด้านสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

ปลดล็อกผู้หนีภัยทำงานได้

นอกจากการเตรียมแผนรับมือผู้หนีภัยในศูนย์พักพิงแล้ว รัฐบาลยังได้เดินหน้านโยบายเชิงรุกเพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานและลดภาระค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุขของประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มแรงงานต่างด้าวและผู้หนีภัยที่ได้รับอนุญาตให้ทำงานนอกพื้นที่พักพิงได้

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2568 คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเห็นชอบให้คนต่างด้าวที่พำนักอยู่ในพื้นที่พักพิงชั่วคราว 9 แห่งใน 4 จังหวัดชายแดน สามารถออกมาทำงานข้างนอกเพื่อเลี้ยงดูตนเองและครอบครัวได้ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568

นโยบายนี้ไม่เพียงแต่ช่วยสนับสนุนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและแก้ไขปัญหาขาดแคลนแรงงาน แต่ยังเป็นการบรรเทาภาระด้านค่ารักษาพยาบาลของประเทศ สืบเนื่องจากการปรับลดงบประมาณช่วยเหลือจากองค์กรระหว่างประเทศ

ตรวจสุขภาพผู้หนีภัยสู่แรงงานถูกกฎหมาย

เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2568 นายวรโชติ สุคนธ์ขจร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ลงพื้นที่ศูนย์พักพิงบ้านแม่หละ จังหวัดตาก เพื่อติดตามความพร้อมในการตรวจสุขภาพและประกันสุขภาพของผู้หนีภัยสู้รบ ซึ่งข้อมูลในจังหวัดตากพบว่า มีผู้หนีภัยในวัยแรงงานประมาณ 24,000 คน และประสงค์จะออกมาทำงานข้างนอกประมาณ 19,000 คน

สธ.ได้เตรียมความพร้อมรองรับการตรวจสุขภาพและการซื้อประกันสุขภาพ เพื่อให้ผู้หนีภัยสู้รบในพื้นที่พักพิงออกมาทำงานได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายและมีหลักประกันทางด้านสุขภาพ ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลของประเทศและยังเป็นการควบคุมป้องกันโรคพื้นที่แนวชายแดน
'ภูมิรัฐศาสตร์โลก' ผันผวน ปั่นป่วน ซ้ำเติม'วิกฤตสุขภาพชายแดน'  

กระบวนการตรวจสุขภาพผู้หนีภัยในพื้นที่พักพิงชั่วคราวที่ได้รับอนุญาตให้ทำงานในประเทศไทยเป็นกรณีพิเศษ จะดำเนินการผ่านศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) โดยมี 10 ขั้นตอน คือ 1.ตรวจสอบเอกสาร 2.ตรวจร่างกาย 3.ตรวจสอบใบหน้า 4.จัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล (Biometric) 5.ระบุเลขรหัสจำแนกประเภทซื้อประกัน 6.ถ่ายภาพเพื่อผลิตบัตร Smart Card 7.ตรวจปัสสาวะหาสารเสพติดและการตั้งครรภ์ 8.รับประทานยารักษาพยาธิโรคเท้าช้าง 9.ตรวจเอกซเรย์ทรวงอก และ 10.เจาะเลือดหลังรับประทานยาครบ 30 นาที เพื่อให้มั่นใจว่าแรงงานมีความปลอดภัยทางสุขภาพก่อนเข้าสู่ระบบ

ชงตั้ง"กองทุนความมั่นคงทางสุขภาพ"

ไม่เพียงการแก้ปัญหาระยะสั้นและกลาง การขับเคลื่อนนโยบายสาธารณสุขในมิติเชิงกลยุทธ์ระยะยาวกำลังถูกผลักดันอย่างจริงจัง ภายใต้แนวคิด “ระบบสุขภาพเชิงรุกท่ามกลางความผันผวนทางภูมิรัฐศาสตร์ (Proactive Thai Health Systems amidst Geopolitical Turbulence)” ซึ่งจะถูกนำเสนอในงานสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 18 ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 27-28 พฤศจิกายน 2568 ณ อิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี จัดโดย สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.)

ดร.สัมพันธ์ ศิลปนาฎ ประธานคณะกรรมการจัดสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ (คจ.สช.) ครั้งที่ 17 -18 กล่าวว่า สังคมไทยเริ่มมองเห็นภาพ“ความผันผวนทางภูมิรัฐศาสตร์”ชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่เหตุการณ์การแพร่ระบาด โควิด-19 เป็นต้นมา มาจนถึงวันนี้ที่ความผันผวนดังกล่าวก็ยังดูมีทีท่าที่จะยกระดับความเข้มข้นมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสงครามที่ยังคงมีความคุกกรุ่นอยู่ในหลายๆ พื้นที่ รวมไปถึงเศรษฐกิจที่มีความแปลกแยก ทั้งนี้ สิ่งหนึ่งที่สำคัญคือการให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพของประชาชน และจะต้องเป็นการมองอย่างเชิงรุก

“จะไม่รอการรักษาหรือรอให้เกิดการเจ็บป่วยแล้วค่อยลุกขึ้นมาทำ แต่จะต้องใช้การคาดการณ์จากข้อมูลจากเทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์แล้วนำมาป้องกันสุขภาพให้กับประชาชนล่วงหน้า เพราะการมาแก้ไขปลายน้ำในเรื่องสุขภาพ ล้วนแต่ทำความเสียหายให้กับบุคคล ครอบครัว สังคม และประเทศ”ดร.สัมพันธ์กล่าว

นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ ผู้อำนวยการ สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการสร้าง การคลังสุขภาพที่ยั่งยืนและพึ่งพาตนเองได้ เนื่องจากแหล่งทุนภายนอกประเทศในการดูแลสวัสดิการสุขภาพกลุ่มเปราะบางมีความไม่แน่นอน เช่น กรณีการระงับงบประมาณของ USAID ซึ่งการจัดตั้ง “กองทุนความมั่นคงทางสุขภาพ” เพื่อบูรณาการทรัพยากรจากหลายภาคส่วน

โดยเน้นการระดมทุนภายในประเทศเป็นหลัก ให้มีงบประมาณที่เพียงพอและมีความยืดหยุ่น แหล่งทุนอาจมาจากงบประมาณภาครัฐ ภาษีเชิงยุทธศาสตร์ และการมีส่วนร่วมจากภาคเอกชนและภาคประชาสังคม

“ งบประมาณที่รัฐต้องลงทุนอาจจะไม่มากนัก เพราะประชากรในศูนย์อพยพ 9 แห่งมีจำนวนราว 1 แสนคน ซึ่งอยู่ในวิสัยที่โรงพยาบาลอำเภอในพื้นที่สามารถดูแลได้ หากมีทรัพยากรเข้าไปส่งเสริมไม่ให้โรงพยาบาลขาดทุน”นพ.ศุภกิจกล่าว 

ช่วยแก้วิกฤตสาธารณสุขชายแดน

นพ.ธวัชชัย ยิ่งทวีศักดิ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลท่าสองยาง อ.ท่าสองยาง จ.ตาก กล่าวว่า สนับสนุนการจัดตั้งกองทุนเพื่อเข้ามาช่วยเหลือสภาวะวิกฤติระบบสาธารณสุขชายแดน เพราะไม่เพียงแค่สวัสดิภาพชีวิตที่ดีของประชากรซึ่งอาศัยอยู่ในศูนย์อพยพเท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนช่วยสำคัญในการเฝ้าระวังและป้องกันปัญหาโรคระบาดที่จะเข้ามายังประเทศไทย ผ่านการให้ความช่วยเหลือเรื่องวัคซีน

ที่ผ่านมามักจะต้องใช้งบเงินบำรุงของทางโรงพยาบาลซึ่งมีอยู่อย่างจำกัดและไม่ค่อยเพียงพออยู่แล้ว เพราะการใช้งบตามระบบปกติอาจจะเกิดข้อจำกัดเรื่องความล่าช้า ไม่ทันต่อสถานการณ์ป้องกันควบคุมโรค

การนำร่องปลดล็อคให้บุคลากรข้ามชาติสามารถเข้ามาทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยทูตฝ่ายสาธารณสุขในการดูแลสุขภาพให้กับประชาชนประเทศตนเองได้ รวมไปถึงการสนับสนุนโครงการทุนการศึกษาอย่างเป็นระบบต่อไปในอนาคต สิ่งเหล่านี้ นอกจากจะช่วยแบ่งเบาภาระบุคลากรทางการแพทย์ของไทยแล้วยังเป็นส่วนสำคัญในการยกระดับการดูแลสุขภาพที่ดีมากขึ้นเพราะความเข้าใจทางด้านภาษา วัฒนธรรม ของผู้ป่วยและผู้ดูแล