'รพ.เอกชน' ปรับทิศทางรุกบริการ 'มากกว่ารักษา' ผุดนิวโปรดักส์

'รพ.เอกชน' ปรับทิศทางรุกบริการ 'มากกว่ารักษา' ผุดนิวโปรดักส์

รพ.เอกชนปรับรูปแบบบริการ รุกคืบเข้าสู่บริการ “โรคความเสื่อม-Well-being”  ผุดนิวโปรดักส์ “รพ.+อสังหาริมทรัพย์” แต่ยังเผชิญความท้าทายภาวะเงินเฟ้อทางการแพทย์สูง 

KEY

POINTS

  • โรงพยาบาลเอกชนปรับกลยุทธ์เพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรที่เข้าสู่สังคมสูงวัยและมีอัตราการเกิดต่ำ
  • ทิศทางบริการมุ่งเน้นไปที่ "มากกว่าการรักษา" โดยเน้นการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน (Well-being) และส่งเสริมสุขภาวะที่ดี
  • เกิดผลิตภัณฑ์และบริการรูปแบบใหม่ เช่น การร่วมมือกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อสร้างที่พักอาศัยพร้อมบริการทางการแพทย์
  • มีแนวโน้มลงทุนในโรงพยาบาลเฉพาะทางขนาดเล็กมากขึ้น ซึ่งใช้เงินลงทุนน้อยและคืนทุนเร็วกว่าโรงพยาบาลขนาดใหญ่

การที่ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายเชิงโครงสร้างประชากรครั้งสำคัญ คือ ภาวะเด็กเกิดน้อยลงจนอัตราการเกิดต่ำกว่าอัตราการตาย และการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Aged Society) ซึ่งมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปเกินกว่า 20% ของประชากรทั้งประเทศ ส่งผลโดยตรงต่อภาคบริการสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรพ.เอกชนที่ต้องปรับกลยุทธ์ในภูมิทัศน์ที่เปลี่ยนแปลงไป

อ้างอิงข้อมูลจากกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ(สบส.) กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) ตัวเลขสถานพยาบาลเอกชนที่ได้รับอนุญาตใหม่รอบ 2 ปี ในปี 2565 ถึง 2567 ส่วนของรพ.เอกชนเพิ่มขึ้น 29 แห่ง จาก 411 แห่งเป็น 440 แห่ง พื้นที่กทม.เพิ่ม 12 แห่งจาก 133 เป็น 145 แห่ง ภูมิภาคเพิ่ม 17 แห่ง จาก  278 เป็น 295 แห่ง

และคลินิกเอกชนเพิ่มขึ้น  6,389 แห่ง จาก 34,163 เป็น 40,552 แห่ง พื้นที่กทม.เพิ่ม 1,218 แห่ง จาก 7,055 เป็น 8,273 แห่ง และต่างจังหวัดเพิ่ม 5,171 แห่ง จาก 27,108 เป็น 32,279 แห่ง

รพ.ขนาดเล็กเฉพาะทางมากขึ้น

นพ.ไพบูลย์ เอกแสงศรี นายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน ให้สัมภาษณ์ “กรุงเทพธุรกิจ”ว่า ช่วงก่อนโควิด-19 มีรพ.เอกชนประมาณ 300 กว่าแห่ง ซึ่งการขยายตัวของรพ.เอกชนก็มีรูปแบบที่เปลี่ยนไป จากเดิมที่เน้นการสร้างรพ.ขนาดใหญ่ ปัจจุบันพบว่ามีรพ.ขนาดเล็ก 10-30 เตียง และรพ.เฉพาะทางเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก

เนื่องจากการลงทุนที่ไม่สูงเท่ากับการสร้างรพ.ขนาดใหญ่ และใช้เวลาคืนทุนเร็วกว่า โดยมุ่งเน้นบริการเฉพาะทาง เช่น ตรวจสุขภาพ (Check-up) หรือรักษาโรคเฉพาะทางอย่างโรคกระดูกและข้อ หรือโรคตา ที่เป็นโรคความเสื่อมที่เกิดขึ้นตามวัยเพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุ 


\'รพ.เอกชน\' ปรับทิศทางรุกบริการ \'มากกว่ารักษา\' ผุดนิวโปรดักส์

โครงสร้างประชากร-โรคเปลี่ยน

การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร ทำให้รูปแบบของโรคภัยไข้เจ็บในสังคมเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ในอดีตเด็กเกิดจำนวนมาก โรคที่เกี่ยวข้องกับเด็กก็มีสัดส่วนที่สูง แต่ตอนนี้โรคของเด็กน้อยลง แต่ต้องการคุณภาพที่มากขึ้น เพราะฉะนั้น การป้องกันโรคในเด็ก การดูแลเด็กตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ ตั้งครรภ์ และหลังคลอดมีการปรับรองรับการเปลี่ยนแปลงทั้งภาครัฐและเอกชน

กลับกัน โรคที่มาพร้อมกับผู้สูงอายุและโรคแห่งความเสื่อมของร่างกายกลับมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ อย่างโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง ซึ่งเป็นต้นทางของโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมอง นำไปสู่อาการอัมพฤกษ์ อัมพาต นอกจากนี้ ยังรวมถึงโรคมะเร็ง และโรคกระดูกและข้อ ซึ่งล้วนเป็นโรคที่เกิดจากความเสื่อมของร่างกายตามวัย

เทรนด์บริการดูแลสูงวัย- Well-being

อย่างไรก็ตาม รพ.เอกชนมีการปรับทิศทางการดำเนินธุรกิจอย่างรวดเร็ว ไปสู่การดูแลผู้สูงอายุมากขึ้น รพ.เอกชนขนาดใหญ่หลายแห่ง หันมามุ่งเน้นและลงทุนในเทคโนโลยีการรักษาที่ตอบโจทย์โรคของผู้สูงอายุมากขึ้น

เช่น การผ่าตัดหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทในอดีตที่ต้องเปิดแผลใหญ่ ปัจจุบันได้พัฒนาไปสู่การใช้กล้องส่องเจาะแผลเล็ก ๆ หรือการฉีดซีเมนต์ทางการแพทย์เพื่อรักษา ในด้านการฟื้นฟูผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) มีการนำหุ่นยนต์เข้ามาช่วยในการกายภาพบำบัด ซึ่งสามารถช่วยฝึกการเคลื่อนไหวได้ทั้งร่างกาย ไม่ใช่แค่แขนขา

อีกหนึ่งเทรนด์ที่กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดดและกลายเป็นโอกาสทางธุรกิจที่สำคัญ คือ  “Well-being” หรือการส่งเสริมสุขภาวะที่ดี เป็นการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน โดยมีเป้าหมายเพื่อค้นหาความเสี่ยงของโรคตั้งแต่เนิ่น ๆ และหาวิธีชะลอหรือป้องกันไม่ให้เกิดโรค เพื่อให้ผู้คนมีสุขภาพแข็งแรงและอายุยืนยาวที่สุด

รพ.เอกชนขนาดใหญ่เกือบทุกแห่งต่างมุ่งเน้นไปในทิศทางนี้ ทำให้เกิดบริการใหม่ ๆ เช่น โปรแกรมตรวจสุขภาพเชิงลึกเพื่อค้นหาความเสี่ยงทางพันธุกรรม เป็นต้น รวมถึง บริการในเรื่องของWellness ที่จะยังเติบโตไปได้อีกมาก

เกิดผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่

ปรากฏการณ์สังคมสูงวัยยังได้สร้างโอกาสทางธุรกิจในรูปแบบใหม่ ๆ ที่เป็นการผสมผสานระหว่างธุรกิจโรงพยาบาลและอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากผู้สูงอายุและคนรุ่นใหม่ที่เลือกใช้ชีวิตโสด ไม่มีทายาท มีความต้องการที่อยู่อาศัยที่สามารถเข้าถึงบริการสุขภาพได้อย่างสะดวกและง่ายดาย ทำให้เกิดความร่วมมือระหว่างโรงพยาบาลเอกชนกับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในการสร้างโครงการที่พักอาศัยที่มีบริการทางการแพทย์รองรับ ใน    
\'รพ.เอกชน\' ปรับทิศทางรุกบริการ \'มากกว่ารักษา\' ผุดนิวโปรดักส์       

ขณะเดียวกัน กลุ่มทุนอสังหาริมทรัพย์เองก็เริ่มหันมาลงทุนในธุรกิจโรงพยาบาลมากขึ้นเช่นกัน ถือเป็นการสร้างผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่ (New Product) ที่ตอบสนองต่อความต้องการของสังคมที่เปลี่ยนไป

ความท้าทายที่รพ.เอกชนต้องเผชิญ

นพ.ไพบูลย์ กล่าวด้วยว่า  รพ.เอกชนยังต้องเผชิญกับความท้าทายที่สำคัญหลายประการ โดยเฉพาะภาวะเงินเฟ้อทางการแพทย์ (Medical Inflation)ที่สูงถึง 15% ต่อปี สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่อยู่เพียง 3-5 %  ปัจจัยหลักมาจากต้นทุนของเทคโนโลยีและเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัย ซึ่งส่วนใหญ่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศและมีราคาแพง

สิ่งนี้สร้างแรงกดดันให้โรงพยาบาลต้องบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อให้สามารถให้บริการที่มีคุณภาพในราคาที่ผู้ป่วยเข้าถึงได้ ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงในตลาด

“คนบอกว่ารพ.เอกชนราคาแพง แต่ความจริงคือเอกชนให้บริการ เครื่องมืออุปกรณ์ เทคโนโลยีต่างๆ ซึ่งต้นทุนสูง ขณะเดียวกันรพ.เอกชนก็มีการแข่งขันกันเองด้วย เพราะหากราคาสูงมากเกินไปก็จะไม่มีใครมาหาเรา”นพ.ไพบูลย์กล่าว 

นพ.ไพบูลย์ มองในภาพรวมของประเทศด้วยว่า นอกเหนือจากภาคโรงพยาบาล ด้านอื่นๆควรต้องพัฒนาขึ้นเพื่อรองรับโครงสร้างประชากรที่สูงวัยมากขึ้นด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งเสริมการผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ต่างๆ การรักษา การฟื้นฟู เนื่องจากปัจจุบันยังต้องซื้อนำเข้ามาจากต่างประเทศและเทคโนโลยีใหม่ก็มีราคาแพง

ท้ายที่สุด นพ.ไพบูลย์ กล่าวว่า  โรงพยาบาลเอกชนต้องพึ่งพาการลงทุนของตนเอง แตกต่างจากโรงพยาบาลรัฐที่สามารถรองรับการให้บริการฟรีได้อยู่แล้ว การแข่งขันที่เป็นธรรมและกติกาที่ชัดเจน จึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้โรงพยาบาลเอกชนสามารถลงทุนและพัฒนาบริการได้อย่างเต็มที่ ท่ามกลางสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่กำลังปรับตัวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ

“อย่าคอยดึงขาหรือบีบมาก จนทำให้มีความจำกัดในการลงทุน ต้องให้เอกชนสามารถพัฒนาเต็มที่ ช่วยกันดึงเงินเข้ามาในประเทศไทย ควรส่งเสริมภาพรวม ขอให้รัฐบาลสนับสนุนจริงๆ” นพ.ไพบูลย์ กล่าว