ทำได้อยู่แล้ว ‘รพ.เอกชน’ แจ้งราคา รายละเอียดยา- รับใบสั่งซื้อยาข้างนอก

รพ.เอกชนพร้อมร่วมมือพาณิชย์ เปิดเผยราคายาและเวชภัณฑ์-สิทธิเลือกซื้อยาข้างนอกได้ ย้ำทั้ง 2 เรื่องดำเนินการได้อยู่แล้ว ห่วงซื้อยาเองเกิดผลกระทบไร้คนรับผิดชอบ
KEY
POINTS
- กระทรวงพาณิชย์เตรียมลงนาม MOU กับโรงพยาบาลเอกชน เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถตรวจสอบรายละเอียดและราคายาก่อนชำระเงิน และมีสิทธิ์นำใบสั่งยาไปซื้อจากภายนอกได้
- กฎหมายสถานพยาบาลปัจจุบันอนุญาตให้ผู้ป่วยสามารถขอใบสั่งยาไปซื้อยานอกโรงพยาบาลได้ และโรงพยาบาลเอกชนมีหน้าที่ต้องแจ้งราคายาและค่าบริการให้ผู้ป่วยทราบ
- โรงพยาบาลเอกชนชี้แจงว่าราคายาที่สูงกว่าร้านขายยาทั่วไปมีสาเหตุจากต้นทุนการบริหารจัดการที่สูง เช่น ค่าบุคลากร การเก็บรักษาตามมาตรฐาน และการควบคุมคุณภาพ
ตามที่นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ การดูแลค่าครองชีพ โดยมีแผนดำเนินการราคายา MOU กับสมาคมโรงพยาบาลเอกชน เพื่อเพิ่มทางเลือกให้ประชาชน รับรู้ค่าใช้จ่ายราคายาก่อนชำระเงิน และประชาชนสามารถไปซื้อยาที่ร้านค้าข้างนอกโรงพยาบาลเอกชนได้ เบื้องต้นมีการตกลงร่วมโครงการ 110 แห่ง 5 เครือ จากทั้งหมด 11 เครือ ประมาณ 330 แห่งที่เป็นสมาชิกสมาคมฯ โดยจะมีการประชุมเพิ่มเติม 7 ตุลาคม 2568 คาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ช่วงสิ้นเดือนตุลาคม 2568
รายงานข่าวระบุว่า ร่าง MOU ที่จะมีการหารือ ก่อนจะลงนามร่วมกัน 4 หน่วยงาน ได้แก่ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ,กรมการค้าภายใน ,สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และสมาคมโรงพยาบาลเอกชน กำหนดขอบเขตของความร่วมมือ 2 เรื่อง คือ
1. ผลักดันและกำกับดูแลให้เกิดความร่วมมือกันในการสร้างความโปร่งใสแก่ผู้รับบริการในโรงพยาบาลเอกชม โดยการแสดงรายละเอียดรายการยาและค่ายาในใบแจ้งค่าใช้จ่าย ใบแจ้งหนี้ (Invoice) และใบเสร็จรับเงิน(Receipt) ของโรงพยาบาลเอกชน เพื่อให้ผู้รับบริการสามารถตรวจสอบรายการยาและราคายาได้
และ2. ส่งเสริมให้เกิดทางเลือกแก่ผู้รับบริการในโรงพยาบาลเอกชน โดยให้ผู้รับบริการมีสิทธิเลือกซื้อยาภายนอกโรงพยาบาลเอกชนได้
กม.กำหนดต้องแจ้งราคา
นพ.ภานุวัฒน์ ปานเกตุ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ(สบส.) กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวปัจจุบันสามารถทำได้อยู่แล้ว ในการที่สถานพยาบาลเอกชนต้องเปิดเผยราคายา โดยมีข้อกำหนดว่าสถานพยาบาลเอกชนจะต้องแจ้งราคาค่าบริการและค่ายาให้กับผู้รับบริการได้รับทราบ และให้สามารถดูได้ว่าบริการแต่ละประเภทมีค่าบริการเท่าไหร่
ถ้าไม่แจ้งถือว่ามีความผิด ตามพ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ.2541 มีโทษทั้งจำและปรับ ส่วนของการไปซื้อยานอกรพ.นั้น มีมติของคณะกรรมการสถานพยาบาลให้สามารถทำได้ และเรื่องราคายา พ.ร.บ.นี้ไม่สามารถไปควบคุมเรื่องราคายาได้ เป็นไปตามกลไกตลาดภายใต้ควบคุมดูแลของกระทรวงพาณิชย์
รพ.เอกชนพร้อมร่วมมือ
ด้านนพ.ไพบูลย์ เอกแสงศรี นายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน ให้สัมภาษณ์ว่า รพ.เอกชนมีการประกาศราคา และส่งให้กระทรวงพาณิชย์อยู่แล้ว ซึ่งข้อมูลที่มีจะเป็นในรูปดิจิทัล และจะติดคิวอาร์โค้ดหน้าแผนกการเงินเพื่อให้ผู้รับบริการตรวจสอบราคาได้
กรณีที่กระทรวงพาณิชย์ต้องการให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น อาจออกมาในรูปแบบเป็นกระดาษหรือทำให้เห็นชัดเจน ซึ่งหลายแห่งดำเนินการได้ เพื่อให้คนไข้ที่มารับบริการ รพ.เอกชน ตัดสินใจได้ว่าจะรับบริการหรือไม่
ส่วนเรื่องการไปซื้อยาข้างนอกนั้น ขึ้นอยู่ที่ความมั่นใจของคนไข้ หากมั่นใจในรพ.ก็ไม่ไปซื้อข้างนอก แต่หากต้องการประหยัดเงิน เพราะรพ.เอกชนจะมีต้นทุนจำนวนมากทั้งค่าเภสัชกร การเก็บรักษายา เรื่องการบริหารจัดการยา การควบคุมอุณหภูมิยา เป็นต้น ทำให้ราคาแตกต่างจากท้องตลาด
รมว.ศุภจีเปิดโอกาสให้คนไข้มีโอกาสเลือกได้ โดยจะทำในลักษณะ MOU ร่วมกับโรงพยาบาลเอกชน โดยมีสมาคมโรงพยาบาลเอกชนเป็นตัวแทนในการหารือ แต่ก็มีหลายแห่งที่จะมาร่วมหารือกัน คาดว่าจะประชุมถึงรายละเอียดต่างๆ ในวันที่ 7 ต.ค.2568 ที่กระทรวงพาณิชย์
"ปัจจุบันสมาคมโรงพยาบาลเอกชน มีสมาชิกราว 354 แห่ง และกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หากมีการทำข้อตกลง MOU ร่วมกันกับกระทรวงพาณิชย์ ก็จะมีรพ.เอกชนหลายแห่งเข้าร่วม จริงๆ ทุกแห่งพร้อมให้การสนับสนุนนโยบายของกระทรวงพาณิชย์อยู่แล้ว” นพ.ไพบูลย์ กล่าว
ถามว่าเรื่องนี้จะกระทบกับต้นทุน นพ.ไพบูลย์ กล่าวว่า ก็มีส่วน เพราะต้นทุนมีหลายอย่าง ไม่ใช่ของที่ซื้อมาขายไป แต่ยังมีหลายปัจจัย และต้องเป็นไปตามมาตรฐานของโรงพยาบาล แต่อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดก็อยู่ที่ประชาชนเป็นผู้เลือก เพราะยังมีสิทธิอื่นๆ คนไทยทุกคนไม่ต้องเสียค่ารักษา เพราะยังมีสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สิทธิประกันสังคม และสิทธิสวัสดิการข้าราชการ แต่การรับบริการผ่านรพ.เอกชน เป็นทางเลือก
นพ.ไพบูลย์ เคยให้ข้อมูลกรุงเทพธุรกิจด้วยว่า กรณียา สมาคมฯเคยทำวิจัยต้นทุนยาของรพ.นอกเหนือจากส่วนที่เป็นค่าตัวยา มีค่าเฉลี่ยต้นทุนยาแต่ละเม็ด มากกว่า 1 บาทขึ้นกับแต่ละโรงพยาบาล บางแห่งอาจจะ 2-3 บาทต่อเม็ด แตกต่างกันตามขนาดของรพ. ขนาดเล็ก ขนาดใหญ่ ด้วย
กรณีเวชภัณฑ์ ก็ลักษณะเดียวกัน เนื่องจากทุกอย่างที่ใช้ทางการแพทย์ต้องมีการควบคุม มีวันหมดอายุ อาจจะซื้อสำลี แอลกอฮอล์ พลาสเตอร์ไว้ที่บ้านแล้วเก็บไว้ 4-5 ปี แต่รพ.ส่วนใหญ่อายุที่กำหนดจะไม่เกิน 2 ปี และเมื่อใกล้หมดอายุ 6 เดือนต้องอนำไปเปลี่ยน นำไปดำเนินการ ไม่ยอมให้หมดอายุ
“จะให้พาณิชย์เข้ามาควบคุมราคาโดยกำหนดเป็นราคาเดียวไม่ได้ เพราะรพ.แต่ละแห่งมีต้นทุนต่างกัน แต่ก็สามารถเรียกดูราคาต้นทุนต่างๆได้หมด ที่ผ่านมารพ.เอกชนก็มีการเฉลี่ยราคาแต่ละชนิด บางรายการราคาแพงมากจะบวกมากไม่ได้ บวกให้แค่พออยู่ได้ ไม่ได้กำไรอะไรมาก ซึ่งรพ.เอกชนที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ที่ต้องกำไรอย่างน้อย 3 ปีติดต่อกัน เมื่อดูกำไรสุทธิจะอยู่ที่ 10 % บวกลบเท่านั้น”นพ.ไพบูลย์กล่าว
ยันรพ.เอกชนดำเนินการอยู่แล้ว
ขณะที่ ศ.นพ.เฉลิม หาญพาณิชย์ อดีตนายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน ให้สัมภาษณ์กรุงเทพธุรกิจ ว่า จากที่ได้รับหนังสือแจ้งจากสมาคมโรงพยาบาลเอกชนในการเชิญให้เข้าร่วมหารือเรื่องนี้ ในวันที่ 7 ต.ค.นั้น ก็ไม่ได้ติดขัดอะไร ไม่ได้มีเนื้อหาที่แตกต่างจากเดิมที่ดำเนินการอยู่แล้ว ทั้งในเรื่องของการตรวจสอบราคายา ห้ามขายเกินราคาประกาศ โดยปัจจุบันผู้รับบริการสามารถสแกนคิวอาร์โค้ดที่รพ.เพื่อทราบราคาได้อยู่แล้ว
และคนไข้มีสิทธิขอใบสั่งยาไปซื้อยาข้างนอกรพ.ได้เช่นกัน ซึ่งเรื่องนี้ไม่ค่อยเกิดในรพ.เอกชน เนื่องจากประเทศไทยไม่ใช่ระบบใบสั่งยา(prescription) แต่ในอเมริกา ยุโรปและสิงคโปร์ เป็นระบบใบสั่งยา หากจะขอรับใบสั่งยาจะต้องเสียค่าเภสัชกร หรือ ค่าธรรมเนียมใบสั่งยา ( prescription fee)ด้วย
“สิ่งสำคัญที่สุด อยู่ตรงที่หากคนไข้ที่ไปนำใบสั่งยาไปซื้อเอง แล้วเกิดเป็นอะไรขึ้นมาใครรับผิดชอบ เพราะเป็นการซื้อยามารักษาตัวเองแม้จะเป็นไปตามใบสั่งแพทย์ก็ตาม แต่หากเป็นระบบใบสั่งยาในต่างประเทศนั้น จะนำไปซื้อยาที่ร้านขายยาซึ่งตำรับยาเหมือนกันทุกร้านที่มีมาตรฐานตามที่หน่วยควบคุมกำกับได้มีการตรวจสอบติดตาม”ศ.นพ.เฉลิมกล่าว
ศ.นพ.เฉลิม กล่าวด้วยว่า ในการประชุมร่วมกันของหน่วยงานต่างๆในวันที่ 7 ต.ค.นี้ เป็นการเตรียมความพร้อมในการลงนามMOU ซึ่งเนื้อหาก็เป็นเรื่องเดิม เรื่องการแสดงรายละเอียดรายการยาและค่ายาก่อนชำระเงิน ก็ต้องบอกอยู่แล้วในปัจจุบัน แต่ใบเสร็จของรพ.เอกชน เป็นใบเสร็จรวม หากจะเพิ่มราย ละเอียดก็ไม่มีใครติดอยู่แล้ว เพื่อให้ผู้รับบริการสามารถตรวจสอบรายการยาและราคายา
การที่ยาตัวเดียวกันมีราคาที่แตกต่างระหว่างในรพ.เอกชนและร้านขายยานั้น ศ.นพ.เฉลิม กล่าวว่า องคาพยพของรพ.เอกชน ยาเป็นส่วนหนึ่งของการรักษาให้ผู้ป่วยหายจากโรค จึงต้องมีระบบควบคุม ,ระบบมาตรฐาน JCI , ระบบ HA ,ต้องมีวัดความชื้น และต้นทุนการดูแลเก็บรักษา(Caring Costs) ในรพ.อีกหลายส่วน รวมถึง การบริหารจัดการเรื่องบุคลากร นอกจากนี้ รพ.เอกชนยังซื้อยาในราคาที่แพงกว่ารพ.รัฐที่มักจะซื้อแบบเหมาจำนวนมาก เหล่านี้ทำให้รพ.เอกชนไม่สามารถจำหน่ายในราคาเท่ากับในท้องตลาดทั่วไปได้
เปิดข้อมูลราคาเวชภัณฑ์รพ.เอกชน
ก่อนหน้านี้ ภัทรกร ทีปบุญรัตน์ รองหัวหน้าฝ่ายคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิผู้บริโภค สภาองค์กรของผู้บริโภค ให้ข้อมูลว่า จากที่ผู้บริโภคนำใบเสร็จค่ารักษาพยาบาลจากรพ.เอกชนแห่งหนึ่งมาร้องเรียนที่สภาองค์กรของผู้บริโภค ซึ่งเมื่อเข้ารักษาตัวในรพ.เอกชน 1 ครั้งจะต้องมีค่าเวชภัณฑ์ พบการคิดราคาเวชภัณฑ์สูงเกินจริงมาก ยกตัวอย่าง 4 ชนิด เปรียบเทียบระหว่างราคาท้องตลาดและราคาในรพ.เอกชนแห่งนี้
ค่าน้ำเกลือ 1000 มิลลิลิตร ที่ฉีดเข้าเส้นเลือด ราคาท้องตลาด 45 บาท อัปราคาเป็น 919 บาท ห่างกัน 800 กว่าบาท คิดเป็น 1900 % ,ค่าพลาสเตอร์ปิดแผลขนาด 6 เซนติเมตร ราคาท้องตลาดแพ็คละ 10 แผ่นมีราคาเพียง 250 บาท หรือประมาณ 25 บาทต่อแผ่น อัปราคาเป็น 224 บาทต่อแผ่น ต่างกันเกือบ 200 บาท คิดเป็น 700 % ,ค่าถุงมือยางทางการแพทย์ ราคาท้องตลาด 2.5 บาท อัปเป็น 17 บาท ต่างกัน 14.5 บาท คิดเป็น 580 %และค่าสำลีก้อนขนาด 0.35 กรัม ราคาท้องตลาด0.10 บาทต่อก้อน อัปเป็น 7 บาทต่อก้อน ต่างกันกว่า 6 บาท คิดเป็น 6,900 %
ชง 4 ข้อเสนอต่อรัฐบาล
ขณะที่ชมรมเภสัชชนบทจัดทำข้อเสนอต่อรัฐบาล 1. กรมการค้าภายในและ อย.ใช้กลไกราคากลาง (Reference Pricing) โดยจัดทำบัญชียาที่จำเป็น ที่แพทย์สั่งใช้กับคนไข้จำนวนมาก แล้วกำหนด ราคากลางและเพดานกำไร
2. บังคับใช้ข้อกำหนดทางเลือกให้ใบสั่งยาที่รพ.เอกชนต้องออก และให้ผู้ป่วยเลือกซื้อจากร้านยาได้อย่างจริงจัง ส่วนนี้จะทำให้เกิดการแข่งขันในตลาด โดยไม่ต้องไปคุมราคา
3. ราคาที่ฉลาก ประชาชนตรวจสอบได้ ถ้า รพ.ขายแพงกว่ามาก ต้องมีเหตุผลชี้แจง
และ4. บังคับใช้เป็นระยะ โดยระยะที่ 1: ยาที่ใช้บ่อยที่สุด 100 รายการ / ระยะที่ 2: เวชภัณฑ์พื้นฐาน เช่น น้ำเกลือ เข็ม ผ้าก๊อซ และระยะที่ 3 ยากลุ่มโรคเรื้อรังที่มียา generic แล้ว โดยเฉพาะเบาหวาน ความดัน ไขมัน







