‘อนุทิน-นพ.ชลน่าน’ใครคือ ‘ตัวจริง’ ศึกชิงผลงาน ‘30 บาทรักษาทุกที่’

“นายกฯอนุทิน”ลั่น “นโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่” ตนเองทำตั้งแต่เป็นรมว.สธ. ไม่ใช่ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว พรรคเพื่อไทย และเตรียมจะนำเอานโยบาย “ฟอกไตฟรีทั้งหมด” กลับมาภายใน 2 เดือน
KEY
POINTS
- นายอนุทิน ชาญวีรกูล อ้างว่าเป็นผู้ริเริ่มนโยบาย "30 บาทรักษาทุกที่" ตั้งแต่สมัยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ขณะที่ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว และพรรคเพื่อไทยนำมาสานต่อและผลักดันเป็นนโยบายเรือธง
- นโยบายในยุคอนุทินเริ่มนำร่องปี 2563 และประกาศใช้จริงในปี 2565 โดยให้ประชาชนใช้สิทธิในสถานพยาบาลปฐมภูมิได้ทุกแห่งทั่วประเทศโดยไม่ต้องใช้ใบส่งตัว
- สมัย นพ.ชลน่าน นโยบายถูกปรับเป็น "30 บาท บัตรประชาชนใบเดียว รักษาทุกที่" มีการออกแบบโลโก้ และขยายผลการดำเนินงานเป็นระยะจาก 4 จังหวัดสู่ทั่วประเทศ
- นายอนุทินยังประกาศจะนำนโยบาย "ฟอกไตฟรีทั้งหมด" กลับมาภายใน 2 เดือน ซึ่งเป็นอีกผลงานที่เคยทำไว้ในสมัยรัฐบาลที่แล้ว
“อนุทินครับ ไม่ใช่ชลน่าน ผมทำมาตั้งแต่อยู่กระทรวงสาธารณสุข 4 ปี” เป็นการตอบกลับจากนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย เกี่ยวกับ “นโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่” ภายหลังจากที่ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่าน พรรคเพื่อไทย และอดีตรมว.สาธารณสุขอภิปรายนโยบายรัฐบาลและมีการพูดถึงเรื่องนี้ว่า “รัฐบาลหนู” นำมาสานต่อ
นายอนุทิน ยังประกาศด้วยว่า “เรื่องฟอกไตฟรีทั้งหมด” ที่รัฐบาลชุดที่ผ่านมาเอาออกไป เปลี่ยนเป็น “ฟอกไตฟรีบางส่วน” ก็จะนำกลับมา และนายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รมว.สาธารณสุขคนปัจจุบัน จะต้องทำให้เห็นภายใน 2 เดือน หรือมากกว่า หากทำไม่ได้จะไปเป็นรมว.สาธารณสุขเอง
ของขวัญปีใหม่เมื่อปี 2565
แท้จริงโครงการ “30 บาทรักษาทุกที่” เริ่มนำร่องเมื่อวันที่ 1 พ.ย. 2563 ในสถานพยาบาลปฐมภูมิพื้นที่กรุงเทพมหานคร เป็นช่วงที่นายอนุทิน เป็นรมว.สาธารณสุข และเป็นประธานคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(บอร์ดสปสช.)โดยตำแหน่ง
ก่อนที่ต่อมาได้ประกาศ “30 บาทรักษาทุกที่” มอบเป็นของขวัญปีใหม่ ตั้งแต่ 1 ม.ค.2565 หากประชาชนอยู่ในพื้นที่ที่ไม่ใช่หน่วยบริการประจำที่ลงทะเบียนไว้ แล้วเกิดการเจ็บป่วยที่ไม่ใช่กรณีป่วยฉุกเฉิน สามารถเข้ารับบริการในระบบบริการปฐมภูมิที่ไหนก็ได้ทั่วประเทศ
โดยที่หน่วยบริการจะไม่มีการเรียกให้กลับไปรับใบส่งตัวมาเหมือนในอดีต จากเดิมที่ผู้ป่วยสิทธิบัตรทองจะต้องเข้ารับบริการในหน่วยบริการตามสิทธิที่ลงทะเบียนไว้ พร้อมกับเรื่อง “โรคมะเร็งไปรับบริการที่ไหนก็ได้”
ทั้งนี้ ตัวอย่างหน่วยบริการปฐมภูมิ เช่น สถานีอนามัย, โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบล (รพ.สต.), หน่วยบริการปฐมภูมิของโรงพยาบาล, ศูนย์สุขภาพชุมชน ศูนย์บริการสาธารณสุข รวมถึง คลินิกชุมชนอบอุ่น เป็นต้น
เรือธงรัฐบาลเพื่อไทย
ต่อมาในสมัยนพ.ชลน่าน มาเป็นรมว.สาธารณสุข นโยบายนี้ถือเป็น “เรือธง”หนึ่งของพรรคเพื่อไทย โดยปรับเป็น“ “30 บาท บัตรประชาชนใบเดียว รักษาทุกที่” ที่สำคัญ มีการออกแบบ โลโก้ 30 บาทรักษาทุกที่ นำมาใช้อย่างโดดเด่น เพื่อติดไว้ยังหน่วยบริการที่ให้บริการโครงการนี้ โดยมีลักษณะเป็น “ตัวอักษรสีแดง” สอดคล้องกับสีของพรรคเพื่อไทย
การขับเคลื่อนนโยบาย มีการขยับดำเนินการเป็นระยะ เริ่มจาก 4 จังหวัดในระยะแรกช่วงเดือนม.ค.2567 เป็น 8 จังหวัดในระยะที่ 2 ก่อนที่จะครอบคลุมทั่วประเทศเมื่อ 1 ม.ค.2568 ซึ่งเป็นช่วงที่ “รมว.สาธารณสุข”เปลี่ยนมือมาเป็น “สมศักดิ์ เทพสุทิน”
จึงอาจเรียกได้ว่า “30 บาทรักษาทุกที่”สมัยอนุทินนั้น เป็นยุคของการ “ริเริ่ม” ส่วนในสมัยนพ.ชลน่านนั้น เป็นยุคของการ “ต่อยอด”
มุ่งหน่วยบริการนวัตกรรม
จากยุคเริ่ม ถึงยุคสานต่อ มาถึงปัจจุบันสิ่งที่ชัดเจนขึ้นสำหรับ “30 บาทรักษาทุกที่” คือ เป็นการมุ่งให้ผู้ป่วยใช้สิทธิใน “หน่วยบริการนวัตกรรม” มากกว่าการไปรับบริการที่รพ.ในกรณีที่เจ็บป่วยไม่มาก เพื่อลดความแออัดของโรงพยาบาล เพิ่มความสะดวกของประชาชนในการเข้ารับบริการใกล้บ้าน ลดเวลาการเดินทางและลดค่าใช้จ่าย
ในปีงบประมาณ 2568 สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) ได้จัดสรรค่าบริการสำหรับหน่วยบริการนวัตกรรมจำนวน 1,521.61 ล้านบาท แยกเป็น 7 ประเภทหน่วยบริการนวัตกรรม ดังนี้
1.คลินิกการพยาบาล จำนวน 509.36 ล้านบาท
2.ร้านยา จำนวน 492 ล้านบาท
3.คลินิกเทคนิคการแพทย์ จำนวน 289.15 ล้านบาท
4.คลินิกทันตกรรม ทันตกรรมเคลื่อนที่ จำนวน 101.37 ล้านบาท
5.คลินิกเวชกรรม จำนวน 77 ล้านบาท
6.คลินิกกายภาพบำบัด จำนวน 41.45 ล้านบาท
7.คลินิกแพทย์แผนไทยจำนวน 11.29 ล้านบาท
ทวงคืน “ฟอกไตฟรีทั้งหมด”ใน 2 เดือน
สำหรับประเด็นเรื่องของการ “ฟอกไต”ในสิทธิบัตรทอง 30 บาทนั้น ยุคของนายอนุทิน ได้มี การเพิ่มทางเลือกฟอกไตด้วยเครื่องโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565
เนื่องจากเดิมทีผู้ป่วยโรคไตที่ฟอกไตด้วยเครื่อง ซึ่งต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มครั้งละ 1,500 บาท บางรายต้องฟอกไตสัปดาห์ละ 3 ครั้ง จึงให้กระทรวงสาธารณสุขและสปสช. ร่วมกันดูแลผู้ป่วยให้ครอบคลุมการรักษาทั้งหมด ไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ป่วยและครอบครัว
กระทั่ง เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2567 สมัยรัฐบาลเพื่อไทย มติบอร์ด สปสช.เห็นด้วยตามนโยบาย PD First หรือ “การล้างไตทางช่องท้อง” เป็นทางเลือกแรก เนื่องจากเห็นว่ามีข้อมูลการให้บริการผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายในระบบ พบว่า ในกลุ่มผู้ป่วยที่ฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม มีจำนวนหนึ่งที่มีคุณภาพชีวิตลดลง จากการเลือกวิธีการบำบัดทดแทนไตที่ไม่เหมาะสมกับสภาวะของผู้ป่วยเอง เช่น กรณีเป็นผู้ป่วยติดเตียง มีภาวะยากลำบากเดินทาง และผู้ป่วยที่อยู่ในระยะท้าย
เป็นที่มาที่ “นายกฯอนุทิน”ลั่นวาจากลางรัฐสภามอบโจทย์ให้ “พัฒนา”นำนโยบาย “ฟอกไตฟรีทั้งหมด”กลับมาภายในรัฐบาลชุดนี้







