'0 บาทป้องกันทุกโรค' คนทำได้ดีมีเงินเข้ากระเป๋า ทิศทางระบบสุขภาพไทย

'0 บาทป้องกันทุกโรค' คนทำได้ดีมีเงินเข้ากระเป๋า ทิศทางระบบสุขภาพไทย

“การทำให้คนดูแลสุขภาพ ป้องกันโรค ต้องจูงใจทำแล้วเงินในกระเป๋าเพิ่มขึ้น หรือไม่ทำแล้วเงินในกระเป๋าลดลงด้วย คนถึงจะทำมากขึ้น”

KEY

POINTS

  • เสนอแนวคิดพลิกระบบสุขภาพไทยจาก "30 บาทรักษาทุกโรค" สู่ "0 บาทป้องกันทุกโรค" โดยเน้นการส่งเสริมสุขภาพเชิงรุกเพื่อป้องกันการเจ็บป่วย
  • ชูหลักเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมเพื่อสร้างแรงจูงใจทางการเงิน เช่น การมอบรางวัลหรือคืนเงินให้แก่ผู้ที่ดูแลสุขภาพตนเองได้ดีและไม่เจ็บป่วย
  • เสนอให้เปลี่ยนระบบจัดสรรงบประมาณ โดยให้รางวัลหรือเงินสนับสนุนแก่พื้นที่หรือองค์กรที่สามารถทำให้ประชาชนมีสุขภาพดี เพื่อสร้างแรงจูงใจในการป้องกันโรค

ถึงเวลาที่ประเทศไทยจะต้องพลิกโจทย์ใหญ่ใหม่อีกครั้ง จาก 30 บาทรักษาทุกโรค เข้าสู่ยุคของ “ 0 บาทป้องกันทุกโรค” มุ่งหวังให้ประชากรมีคุณภาพชีวิตที่ดีตลอดช่วงอายุ ตั้งแต่ "เกิดดี เติบโตดี อยู่ดี แก่ดี และตายดี"

ปัจจุบัน ระบบสุขภาพเน้นไปที่การรักษา ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงมาก และบางครั้งก็ไม่ได้นำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดี เช่น ค่าใช้จ่ายในการล้างไตที่เพิ่มขึ้นจากหลักพันล้านเป็น 2-3 หมื่นล้านบาท หรือค่ารักษาโรคธรรมดาอย่างไข้หวัดที่อาจแตกต่างกันจาก 0 บาท (ดูแลตนเอง) ไปจนถึงกว่า 15,000 บาท

นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายในช่วง 6 เดือนสุดท้ายของชีวิตยังอาจสูงถึงครึ่งหนึ่งของค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพตลอดชีวิตในบางประเทศ หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด โครงสร้างค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพจะไปไม่รอด

“กรุงเทพธุรกิจ” มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษ “นพ.สุเทพ เพชรมาก เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.)” ถึงทิศทางการขับเคลื่อนระบบสุขภาพไทย ที่ต้องมองให้ครบวงจรและวางรากฐาน เพื่ออนาคตที่ยั่งยืนของประเทศ กับแนวคิด  “0 บาทป้องกันทุกโรค” และกรอบสร้าง “เกิดดี เติบโตดี อยู่ดี แก่ดี และตายดี” ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องสุขภาพ

 “ 0 บาทป้องกันทุกโรค”

นพ.สุเทพ  อธิบายว่า จาก 30 บาทรักษาทุกโรค ควรเข้าสู่ยุคของ “ 0 บาทป้องกันทุกโรค”คือ การเปลี่ยนกระบวนทัศน์จากการตั้งรับรอป่วย มาเป็นการลงทุนป้องกันไม่ให้ป่วย ซึ่งการป้องกันหลายอย่างไม่ต้องใช้เงิน หรือใช้ 0 บาท  อย่างเช่น การเลิกบุหรี่, ลดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์, เดินให้มากขึ้นแทนการนั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้าง, กินน้ำเปล่าแทนน้ำหวานสิ่งเหล่านี้ไม่เพียงแต่ทำให้สุขภาพดีขึ้น แต่ยังทำให้มีเงินเหลือในกระเป๋าด้วย

รวมถึง การดูแลอารมณ์ การนอนหลับให้เพียงพอ การสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดีในสังคม สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นการป้องกันโรคที่ไม่ต้องลงทุนด้วยเงิน แต่ส่งผลมหาศาลต่อสุขภาพกายและใจ แต่การจะทำให้คนเปลี่ยนพฤติกรรมได้ ไม่ใช่แค่การรณรงค์

ใช้กลไกจูงใจ-ลดแรงจูงใจ

การขับเคลื่อนและกลไกสนับสนุน การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมต้องอาศัย "ระบบนิเวศ(ecosystem)ที่เอื้ออำนวย" ด้วยจึงจะประสบความสำเร็จนอกเหนือจากความตั้งใจของบุคคล  โดยการนำเรื่อง “ เศรษฐศาสตร์พฤติกรรม”  ใช้กลไกจูงใจและลดแรงจูงใจ

เช่น การมอบสิทธิประโยชน์บัตรกำนัลสำหรับการเดินวันละ 10,000 ก้าว  หรือ กรณีจ่ายเงินเข้ากองทุนสุขภาพทุกปี แต่ถ้าปีนั้นไม่ป่วย ไม่เคลมเลย ก็คืนเงินจากกองทุนฯ เป็นต้น   ซึ่งจะกระตุ้นให้คนหันมาดูแลสุขภาพมากขึ้น

“เศรษฐศาสตร์พฤติกรรม มีทั้งจูงใจที่ว่าทำแล้วเงินในกระเป๋าเพิ่มขึ้น หรือถ้า ไม่ทำแล้วเงินในกระเป๋าลดลง คนก็มีแนวโน้มจะทำมากขึ้น แต่ที่ไทยทำตอนนี้เป็นแค่แคมเปญเชิญชวนให้คนดูแลสุขภาพ ป้องกันโรคว่าทำแล้วดี ยังเน้นแบบจิตสำนึกส่วนตัวอยู่  ถ้าบอกว่าดีแล้วมีเงินในกระเป๋าเพิ่มด้วย ก็ยิ่งน่าทำมากขึ้น”นพ.สุเทพกล่าว   

ส่วนภาคเอกชน บริษัท องค์กรต่างๆ  หากดูแลทำให้พนักงานมีสุขภาพดี ควรจะมีมาตรการ เช่น  ลดภาษีหรืออื่นๆ เป็นสิ่งจูงใจเพิ่มเติม  ซึ่งการทำให้บุคลากรแข็งแรงสุขภาพดี ส่วนหนึ่งบริษัทก็ได้ประโยชน์อยู่แล้ว ทั้งเรื่องค่าใช้จ่ายดูแลสุขภาพพนักงานลดลง หรือ อบต. ที่ดูแลให้ชาวบ้านสุขภาพดี ก็ควรได้รับงบประมาณเพิ่มไปพัฒนาด้านอื่นๆ เป็นต้น

“ปัจจุบันระบบของเรามีปัญหา คือ ที่ไหนป่วยมาก กลับได้เงินมาก ที่ไหนคนไม่ป่วย กลับไม่ได้เงิน จึงไม่มีแรงจูงใจให้ป้องกันโรค ก็ต้องเปลี่ยนเป็นที่ไหนทำให้คนไม่ป่วย ควรได้เงินรางวัล” นพ.สุเทพกล่าว

 “เกิดดี เติบโตดี อยู่ดี แก่ดี ตายดี”

อย่างไรก็ตาม นพ.สุเทพ ย้ำว่า สุขภาพและคุณภาพชีวิต ต้องมองให้ครบวงจรตลอดช่วงชีวิตของคน ซึ่ง สช. พยายามขับเคลื่อนให้เกิดการทำงานในระดับพื้นที่ให้เข้มแข็งตามแนวทาง “เกิดดี เติบโตดี อยู่ดี แก่ดี ตายดี” ก่อนขยายความถึงเรื่อง “เกิดดี และ เติบโตดี” คือ การส่งเสริมให้เด็กที่เกิดมาได้รับการดูแลอย่างดี มีคุณภาพ เติบโตขึ้นมาอย่างเต็มศักยภาพ

“ส่วนตัวเคยไปคุยกับนายก อบจ. หลายจังหวัด บอกว่าต้องคิดว่าเด็กทุกคนที่เกิดในจังหวัดเหมือนเป็น ลูกนายก อบจ. ต้องดูแลให้ดีที่สุด ให้เขามีโอกาสเติบโตเป็นอะไรก็ได้ เหมือนที่ในอเมริกาบอกว่าเด็กทุกคนมีโอกาสเป็นประธานาธิบดี”นพ.สุเทพกล่าว

“อยู่ดี” ส่วนนี้สำคัญมาก เป็นการ “สร้างนำซ่อม” ปัจจัยที่กำหนดสุขภาพของมนุษย์มาจากการรักษาพยาบาลแค่ 10-20% แต่อีกประมาณ 75% มาจากพฤติกรรมและสิ่งแวดล้อม การ “อยู่ดี” จึงหมายถึงการมีพฤติกรรมสุขภาพที่ดี เช่น การกิน การออกกำลังกาย และการอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี  ปลอดภัยจากมลพิษอย่าง PM2.5 ที่ตอนนี้เป็นสาเหตุของมะเร็งปอดมากขึ้น แม้ในคนที่ไม่สูบบุหรี่ การลงทุนในส่วนนี้จะได้ผลตอบแทนสูงมากแต่ใช้เงินน้อย

'0 บาทป้องกันทุกโรค' คนทำได้ดีมีเงินเข้ากระเป๋า ทิศทางระบบสุขภาพไทย

 สูงวัยแข็งแรง สร้างผลิตภาพให้ประเทศ

“แก่ดี” หมายถึง การที่ผู้สูงวัยยังคงมีสุขภาพแข็งแรง สามารถทำงานสร้างผลิตภาพให้ประเทศได้ตามศักยภาพ เป็นทิศทางของ “เศรษฐกิจสูงวัย” (Silver Economy) ที่สมัชชาสุขภาพแห่งชาติกำลังจะจัดขึ้นในปีนี้ เพื่อเตรียมความพร้อมให้สังคมและระบบเศรษฐกิจรองรับผู้สูงอายุ ทั้งในแง่การจ้างงานและสินค้าบริการ

“คนไทยอายุยืนขึ้นมาก ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา อายุคาดเฉลี่ย (Life Expectancy) เพิ่มขึ้นเกือบ 20 ปี ดังนั้น การเกษียณที่อายุ 60 อาจจะไม่เหมาะสมอีกต่อไป ถ้าหยุดทำงานตอน 60 แต่อายุยืนถึง 100 ปี แล้วอีก 40 ปีจะเอาอะไรกิน”นพ.สุเทพกล่าว 

“ตายดี” ช่วงสุดท้ายของชีวิต ถ้าเลือกได้ก็คงอยากมีอายุยืนพอสมควร และอยากให้ช่วงเวลาแห่งความทุกข์ทรมานในระยะท้ายสั้นที่สุด การ“ตายดี” ไม่ใช่การเร่งให้ตาย แต่เป็นการตายอย่างสงบตามธรรมชาติ ไม่ยืดเยื้อด้วยเทคโนโลยีการแพทย์ที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ และสร้างความทรมานทั้งต่อผู้ป่วยและภาระค่าใช้จ่ายมหาศาลต่อครอบครัวและระบบสุขภาพ

ขับเคลื่อนจากฐานราก

การขับเคลื่อนแนวคิดทั้งหมดนี้ให้เกิดขึ้นจริง นพ.สุเทพ กล่าวว่า  นโยบายระดับชาติเป็นสิ่งจำเป็น แต่จะเห็นว่ารัฐบาลมักให้ความสำคัญกับนโยบายที่จับต้องได้ง่าย เห็นผลเร็ว เช่น รถไฟฟ้า 20 บาท หรือเงินดิจิทัล แต่นโยบายโครงสร้างประชากรและสุขภาพแบบนี้ต้องใช้เวลาเป็น 10-20 ปีกว่าจะเห็นผล

หัวใจสำคัญจึงอยู่ที่การขับเคลื่อนจากฐานราก ทำให้พื้นที่เข้มแข็ง ซึ่งสช. มี“สมัชชาสุขภาพแห่งชาติ” เครื่องมือสำคัญ เป็นกระบวนการที่ให้ทุกภาคส่วนมาหารือและสร้างนโยบายร่วมกัน และ “ธรรมนูญสุขภาพพื้นที่” เป็นเหมือนกติการ่วมกันของคนในชุมชนหรือองค์กรนั้น ๆ เช่น ธรรมนูญโรงเรียนที่ตกลงกันว่าจะแก้ปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าหรือการบูลลี่กันอย่างไร เมื่อกติกามาจากความเห็นร่วมของคนในพื้นที่ การปฏิบัติตามก็จะยั่งยืนกว่าคำสั่งจากบนลงล่าง ปัจจุบันมีธรรมนูญสุขภาพเกือบ 3,000 ฉบับทั่วประเทศแล้ว

แม้ว่าปัจจุบันระบบสุขภาพยังคงเน้นการรักษาเป็นหลัก เนื่องจากเป็นสิ่งที่ประชาชนต้องการ แต่ถึงเวลาแล้วที่ต้องพลิกหันมาให้ความสำคัญกับการ "สร้างนำซ่อม" และการป้องกันโรคอย่างจริงจัง ซึ่งการขับเคลื่อนเชิงระบบทั้งประเทศภายใต้แนวคิด "0 บาทป้องกันทุกโรค" จึงเป็นทางออกสำคัญที่ต้องเร่งดำเนินการ