‘วิกฤติสุขภาพ’ จ่อระเบิด สร้าง S-Curve ใหม่ - เฮลธ์เทค รับเวลเนส-Longevity

ไทยวิกฤติสุขภาพหนักกว่าหนี้ จ่อระเบิด ต้องสร้าง S-Curve ใหม่วงการแพทย์ วงเสวนาหนุน‘เฮลธ์เทค’ ตอบโจทย์เมกะเทรนด์ “เวลเนส-Longevity” หอกสำคัญ “สตาร์ทอัพ”สู่"Global Player"
KEY
POINTS
- ประเทศไทยกำลังเผชิญวิกฤตสุขภาพจากสังคมสูงวัยที่อายุยืนแต่ไม่แข็งแรง (Unhealthy Longevity) และอัตราการเกิดต่ำ ซึ่งอาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อระบบสาธารณสุขและประกันสังคม
- วิกฤตดังกล่าวเป็นโอกาสในการสร้าง S-Curve ใหม่ทางเศรษฐกิจ โดยใช้จุดแข็งด้านบริการทางการแพทย์ของไทย ต่อยอดสู่ธุรกิจด้านการป้องกันโรค สุขภาวะ (Wellness) และการมีอายุยืนยาว (Longevity)
- เทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านสุขภาพ (Health Tech) เช่น AI, Quantum Computing และอุปกรณ์สวมใส่ จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อน S-Curve ใหม่นี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาและการดูแลสุขภาพส่วนบุคคล
- เสนอให้เปลี่ยนแนวคิดจาก "การรักษาโรค" ไปสู่ "การป้องกันโรค" เพื่อส่งเสริมให้คนมีช่วงชีวิตที่สุขภาพดี (Health Span) ยาวนานขึ้น
แม้ว่าการเปิดเผยดัชนีนวัตกรรมโลกปี 2025 ประเทศไทยจะอยู่ที่ 45 ร่วงลง 4 อันดับจากปีก่อน แต่สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เชื่อมั่นว่านวัตกรรมไทยยังมีโอกาสในการก้าวต่อไป โดยหัวใจสำคัญอยู่ที่การเร่งสร้างผู้ประกอบการฐานนวัตกรรมที่พร้อมแข่งขันในตลาดโลก จากจุดเด่นปัจจัยย่อยด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D)
Thailand Innovation Hub เร่ง 5 ธุรกิจ
ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการ NIA กล่าวว่า การขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยสู่เศรษฐกิจฐานนวัตกรรม การเร่งผลักดันให้เกิด Thailand Innovation Hub เพื่อสร้างเครือข่ายศูนย์กลางนวัตกรรมที่เชื่อมโยงทั่วประเทศ และสนับสนุนผู้ประกอบการไทยให้สามารถเติบโต สร้างโอกาสขยายตลาด และแหล่งเงินทุนทั้งในประเทศ และต่างประเทศ
อุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีศักยภาพของไทย ผ่านโปรแกรมเร่งสร้างการเติบโตของธุรกิจนวัตกรรมใน 5 กลุ่มหลัก ได้แก่ การเกษตร อาหาร การแพทย์และสุขภาพ พลังงานและสิ่งแวดล้อม และท่องเที่ยว/ซอฟต์พาวเวอร์/สังคม
“ ตั้งเป้าหมาย 100 กิจการต่อปีได้รับการเร่งสร้างการเติบโต เกิดรายได้ 1,000 ล้านบาท จากธุรกิจนวัตกรรม และเกิดการลงทุนเพิ่มในธุรกิจนวัตกรรม 2,000 ล้านบาท ” ดร.กริชผกา กล่าว
เมกะเทรนด์ ส่งผลต่ออุตฯสุขภาพ
วงเสวนา เรื่อง “แนวโน้มกระแสการเปลี่ยนแปลงระดับโลกทางด้านเฮลท์เทค (Global Mega Trend in Health Tech)” ในงาน Global Innovation Forum 2025 ภายใต้หัวข้อ “Global Health Tech towards Innovation Nation...เฮลท์เทคไทยมองไกลกว่าสุขภาพ” จัดโดย NIA
พญ.จามรี เชื้อเพชระโสภณ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงพยาบาลเมดพาร์ค มองว่า เมกะเทรนด์ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีและการดูแลสุขภาพที่สำคัญที่สุดคือการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรสู่ สังคมผู้สูงอายุ โดยประเทศไทยเผชิญกับสถานการณ์ที่เรียกว่า "แก่แต่จน" และอีกเทรนด์หนึ่งคือ การเปิดรับเทคโนโลยี ซึ่งคนไทยเป็นผู้ใช้เทคโนโลยีเก่งมาก แต่ส่วนใหญ่เป็นผู้รับเทคโนโลยีมากกว่าผู้สร้างสรรค์นวัตกรรม
“โจทย์สำคัญจึงอยู่ที่ว่า ผู้สูงวัยแก่แล้วแข็งแรง ไม่ป่วย ซึ่งนำไปสู่เทรนด์ของโลกที่เน้นการใช้ชีวิตวัยชราอย่างมีสุขภาพดีและไม่เจ็บป่วย”พญ.จามรีกล่าว
ประเทศไทยมีจุดแข็งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องสุขภาพ (Health) ที่เป็นเรื่องเฉพาะบุคคลเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีการแพทย์ขนาดใหญ่และมีราคาสูง เช่น เครื่อง CT Scan หรือ MRI ซึ่งไทยอาจยังไม่คุ้มค่าในการลงทุนผลิตเอง และสุขภาวะ (Wellness) เป็นสุขภาวะในองค์รวม ที่กว้างกว่าสุขภาพ ประกอบด้วย 8 ด้าน ได้แก่ กายภาพ, จิตใจ, อารมณ์, จิตวิญญาณ, สังคม, การเงิน, สติปัญญา และอาชีพ ซึ่ง Wellness มีโอกาสสำหรับเทคโนโลยีขนาดเล็กเข้ามาร่วมด้วย เช่น การใช้ wearable device วัดผลลัพธ์ของการลดความเครียด เป็นต้น
4 เทรนด์ เฮลธ์แคร์
ธเรศ บุญคุณศักดิ์ Business Technical Leader บริษัท IBM ประเทศไทย จำกัด นำเสนอ 4 เทรนด์หลักในอุตสาหกรรม Healthcare ตามมุมมองของ IBM Institute for Business Value ได้แก่ 1. Virtual Hybrid Care ที่ทำให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาได้เร็วขึ้น สะดวกขึ้น ด้วยอุปกรณ์สวมใส่ (wearable device) และ IoT 2. Digital Transformation เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานของสถานพยาบาลและลดต้นทุน 3.Value-Based Care ที่เน้นผลลัพธ์การรักษาและลดค่าใช้จ่ายผู้ป่วยแทนการคิดค่าบริการตามรายการ และ4. Patient-Centered Care ที่ส่งเสริมให้คนดูแลสุขภาพตัวเองเชิงรุกมากขึ้น
ทั้งนี้ สังคมสูงวัยจะทำให้ความต้องการบุคลากรทางการแพทย์เพิ่มขึ้น Health Tech อนาคตที่กำลังมาถึงเป็นเรื่องของ AI จะเข้ามามีบทบาทสำคัญ โดย 77% ของผู้ให้บริการสุขภาพมองว่า AI ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ และ 66% มองว่ามีส่วนช่วยเพิ่มรายได้และลดต้นทุน AI จะช่วยในการวินิจฉัยโรคเบื้องต้นจากภาพถ่ายทางการแพทย์ การบริหารจัดการองค์กร และการยกระดับบริการทางการแพทย์ เช่น Telemedicine หรือการแนะนำสุขภาพส่วนบุคคล
รวมถึง Quantum Computing ที่มีศักยภาพในการประมวลผลมหาศาลแบบทวีคูณ จะนำมาซึ่งโอกาสใหม่ๆ ในการแพทย์ เช่น ความแม่นยำและความเร็วในการประมวลผลสูงขึ้น การค้นพบยาใหม่ๆ และ Personalized Medicine ที่ออกแบบยาเฉพาะบุคคลตามพันธุกรรม เป็นต้น
วิกฤติสุขภาพจ่อระเบิด หนักกว่าหนี้ครัวเรือน
ท็อป-จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด ระบุว่า Quantum Computing จะ "Supercharge AI" และ ลดระยะเวลาการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ในวงการแพทย์ลง 10 เท่า ทำให้การหาวิธีรักษาโรคต่างๆ รวดเร็วขึ้นอย่างก้าวกระโดด ยังช่วยลดต้นทุนการดูแลสุขภาพลง 20% ฉะนั้น อนาคตการมีอายุยืนถึง 100 ปีจะเป็นเรื่องปกติสำหรับคนที่มีอายุร่างกายต่ำกว่า 40 ปีในปัจจุบัน จึงเริ่มเกิดเทรนด์ Longevity ที่มุ่งหาทางออกในการ "ย้อนอายุชีวภาพ" โดยการเอาเทคโนโลยีเข้ามาใช้
สำหรับประเทศไทยกำลังเผชิญหน้ากับวิกฤติด้านสุขภาพที่ใหญ่กว่าวิกฤติหนี้ครัวเรือน และกำลังผลักดันให้ กองทุนสุขภาพและประกันสังคมเสี่ยงต่อการ "ระเบิด" ผลจากอัตราการเกิดของเด็กที่ลดลงอย่างมาก จำนวนผู้เสียชีวิตยังมากกว่าจำนวนผู้เกิดใหม่อีกเพียง 50 ปีข้างหน้า ประชากรไทยจะลดลงเหลือเพียง 33 ล้านคน
ขณะเดียวกัน อายุเฉลี่ยของประชากรกลับยืนยาวขึ้น (life span) แต่เป็น การมีอายุยืนขึ้นแบบไม่แข็งแรง (unhealthy longevity) ทำให้มีช่วงชีวิตสุขภาพดี (health span) สั้นลง เช่น ชายไทยมีอายุเฉลี่ย 75 ปี แต่มีช่วงชีวิตสุขภาพดีเพียง 65 ปี ทำให้มี 10 ปีแห่งความทุกข์ทรมานนอนติดเตียง ส่วนใหญ่เสียชีวิตจากกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ซึ่ง 90% สาเหตุมาจากพฤติกรรม รวมถึง คนขาด "Health Literacy" หรือความรอบรู้ด้านสุขภาพ
“ควรต้องมีการเปลี่ยนแนวคิดจาก30 บาทรักษาทุกโรคไปสู่ป้องกันทุกโรค เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนดูแลสุขภาพและป้องกันการเจ็บป่วย และเตรียมบุคลากรทางการแพทย์ให้พร้อม ด้วยการอัปสกิล เรื่อง prevention stack หรือวิธีการป้องกันโรคและการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ (root cause) ซึ่งสามารถป้องกันการเสียชีวิตจากหลายโรคได้มากกว่า เพราะแพทย์ในปัจจุบันถูกสอนให้เน้นการใช้ยาเพื่อกดอาการ”ท็อป-จิรายุสกล่าว
สร้าง S Curve ใหม่ของวงการแพทย์
จากเทรนด์ต่าง ๆจะเป็นโอกาสให้ประเทศไทย กลายเป็น Global Player ในแวดวง Health Tech ไม่ใช่แค่ตามกระแสเท่านั้น “ท็อป-จิรายุส” บอกว่า ถ้ามองอนาคตไปข้างหน้า Digital Economy Hub และ Financial Hub ไม่ใช่จุดแข็ง แต่สิ่งที่เมืองไทยแข็งแกร่งมาก ทุนเดิมดีมากแล้วไม่มีใครสู้ได้ คือ “Health Care” มีบริการดีเป็นมิตร อัตราค่าบริการดี แพทย์เก่ง รวมถึงมีธรรมชาติสวยงาม เป็น Best destination ของโลก
เพียงแต่ที่ผ่านมามุ่งเน้นเรื่องของการรักษาคนป่วยเป็นหลัก แต่การป้องกันโรค ขยาย Health Span ให้เท่ากับ life span รวมถึงเรื่อง ไบโอแฮ็กเกอร์(biohacker) ยังไม่ได้เริ่มมากนัก ไทยจึงยังไม่ได้มี S Curve ของวงการแพทย์
“ควรจะต้องเปิด S Curve ใหม่ขึ้นมาให้ประเทศไทย โดยทำควบคู่กับเรื่องการรักษาโรคที่ยังทำเงินให้ประเทศได้มาก จึงเป็นช่วงเวลาเหมาะมากที่จะเปิด S Curve ใหม่ของการแพทย์ไทย ในเรื่องของ Longevity เปิดเรื่องของ biohacking service การพัฒนาตนเองเพื่อมีอายุยืนยาวแบบสุขภาพดี เพราะคนทั่วโลกแก่กันหมดแล้ว โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง พร้อมจะจ่าย อนาคตค่าใช้จ่ายต่อหัวที่เข้ามารับบริการในไทย มากกว่า 60,000 บาท เพราะไม่ใช่ได้เพียงการท่องเที่ยวคุณภาพสูงเท่านั้น แต่ยังมา reverse biomarkerด้วย”ท็อป-จิรายุสกล่าว
รพ.ปรับตัวดูแลสุขภาพองค์รวมไม่แค่รักษา
ขณะที่ พญ.จามรี กล่าวว่า ปัจจุบันโรงพยาบาลหลายแห่งเริ่มปรับเปลี่ยนบทบาทจากสถานที่สำหรับการรักษาพยาบาลกลายเป็นศูนย์กลางดูแลสุขภาพ มีโปรแกรมการตรวจพันธุกรรมและโปรแกรมการป้องกันโรค ซึ่งเป็นทิศทางที่ควรจะเป็น โดยในแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ กล่าวถึง 2 เรื่อง ได้แก่ Medical Hub การรักษาระดับสูง แม้ทำเงินเข้าประเทศจำนวนมาก ขณะเดียวกันรายได้ส่วนใหญ่กลับรั่วไหลออกนอกประเทศด้วย จากการนำเข้าเครื่องมือและยา
และ wellness Hub การส่งเสริมสุขภาวะแบบองค์รวม(Thailand Holistic Wellness) โดยเน้นการวัดผลลัพธ์ ในผลิตภัณฑ์และบริการอย่างชัดเจน เช่น การนวดที่วัดผลการดีขึ้นของกล้ามเนื้อ หรือแคมป์ลดความเครียดที่สามารถวัดระดับความเครียดได้จริง โดยนำเทคโนโลยีต่างๆเข้ามาดำเนินการ หากทำเรื่องwellness ได้จะช่วยกระจายรายได้สู่ชุมชนและท้องถิ่นได้มากขึ้นทั้งนี้ จากคนเข้ามารักษาตัวในไทย 1 คนมีญาติครอบครัวตามมาอีก 10 คน รพ.ก็อาจจะประสานกับสมาคมต่างๆ เพื่อให้ญาติไปทำเรื่อง Wellness จะเกิดวงจรที่เป็น Ecosystem
ด้าน ธเรศ เห็นว่า คนไทยมีความสามารถด้านนวัตกรรม Health Tech สูง ดังเห็นได้จากผลงานของนักศึกษาและผู้ประกอบการรุ่นใหม่ จึงควรสนับสนุนสตาร์ทอัพด้าน Health Tech และ Wellness ของไทยให้คิดถึง "Global Scale" ขยายสู่ตลาดโลกด้วย เพื่อนำเงินกลับเข้าประเทศ โดยใช้จุดแข็งด้าน การบริการ (Hospitality)และการเอาใจใส่ (People Care)แบบคนไทย ผสานกับเรื่องเฮลธ์เทคโนโลยีแล้วอุดหนุนภายในประเทศก่อน จึงขยายไประดับโลก เป็นจุดเด่นที่ทำให้ไทยสามารถแข่งขันในระดับโลกได้







