ยื่นโจทย์วัดฝีมือ 'รมว.สธ.(มือใหม่)' Quick Win 4+4 เดือน ทำได้ทันที เกิดผล

ยื่นโจทย์วัดฝีมือ 'รมว.สธ.(มือใหม่)' Quick Win 4+4 เดือน ทำได้ทันที เกิดผล

โจทย์ที่ “นายกฯอนุทิน” ส่งสัญญาณถึงสธ. ส่วนข้อเสนอนโยบายสาธารณสุข ที่ทำได้ทันทีให้เกิดผล ใน 8 เดือน วางรากฐาน “ระบบบริการปฐมภูมิ” ให้เข้มแข็ง, วางทิศทางแยกสธ.ออกจากก.พ. และอย่าบีบบังคับเอกชนจนมีขีดจำกัดการลงทุน

KEY

POINTS

  • นายกฯ อนุทิน มอบโจทย์สำคัญในการเตรียมความพร้อมรองรับสังคมผู้สูงอายุ โดยเน้นการสร้างเสริมคุณภาพชีวิตให้ผู้สูงวัยสามารถพึ่งพาตนเองได้
  • ข้อเสนอเร่งด่วนคือการปฏิรูประบบบริการปฐมภูมิให้เข้มแข็ง โดยชูนโยบาย "คนไทยทุกคนมีหมอประจำตัว" และนำเทคโนโลยีมาใช้ในการดูแลผู้ป่วยทางไกล
  • ผลักดันร่าง พ.ร.บ. แยกกระทรวงสาธารณสุขออกจาก ก.พ. เพื่อแก้ปัญหาบุคลากรทางการแพทย์ขาดแคลนและภาระงานหนัก ให้สามารถบริหารอัตรากำลังและค่าตอบแทนได้เอง
  • นำมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งผ่านการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนแล้ว มาปรับใช้เป็นนโยบายเพื่อแก้ปัญหาด้านสาธารณสุขได้ทันที

ภายใต้สัญญาลูกผู้ชาย นายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกูล” ต้องยุบสภาภายใน 4 เดือน แม้ดูเหมือนสั้น แต่เวลาการทำงานของ “รัฐบาลหนู” มีถึง 8 เดือน หลังยุบสภามีเวลาต่ออีก 4 เดือน เพราะใช้เวลา 2 เดือนกว่าจะเลือกตั้ง และ 2 เดือนกว่าจะตั้งรัฐบาลใหม่เรียบร้อย อาจจะเรียกได้ว่า “เพียงพอ”ที่จะขับเคลื่อนนโยบายให้เห็นผลเป็นรูปธรรม หากสามารถกำหนดนโยบายได้ “ตรงเป้า” ส่วนของ “นโยบายสาธารณสุข”ก็เช่นเดียวกัน 

สัญญาณหนึ่งที่ถูกส่งถึง “คนสธ.”ในวันที่ “นายกฯอนุทิน” ปาฐกถาแรกหลังรับตำแหน่งนายกฯ เรื่อง “สาธารณสุขไทย สู่อนาคตที่ยั่งยืน” ภายในงานประชุมวิชาการกระทรวงสาธารณสุข ประจำปี 2568 คือ “การเตรียมความพร้อมรองรับสังคมผู้สูงอายุ”

นายกฯอนุทิน กล่าวว่า ปัญหาที่กำลังรอดำเนินการอยู่ คือ เรื่องช่วงอายุคนที่เพิ่มสูงขึ้น จากการที่คนอายุยืนยาว เพราะมียาดี องค์ความรู้ดี มี Health Literacy ที่ดี มีความเข้าใจเรื่องของสุขภาพที่ดี และ มีบุคลากรทางสาธารณสุขที่ดี

สอดคล้องกับการที่ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ จึงควรต้องมองถึงการทำให้คนที่อายุยืนยาวอยู่ได้ด้วยตนเอง แบบไม่เป็นภาระ ไม่เป็นตัวดึง ลูกหลานสามารถไปทำงานปกติ สร้างเสริมรายได้ ส่วนภาครัฐมีรายได้มาดูแลประชาชนสูงอายุที่มีความจำเป็นต้องได้รับการดูแลจริงๆ ในบั้นปลายชีวิต
 

เตรียมแผนรองรับสังคมสูงอายุ 

ปัจจุบันระบบสาธารณสุขทำได้ดีอยู่แล้ว มีการไปรักษาที่บ้าน โดยจัดระบบดูแลแม้แต่ติดเตียงก็ไปติดเตียงที่บ้าน มีเจ้าหน้าที่ในวงการสาธารณสุขไปดูแล แต่สิ่งยังขาดเรื่องคุณภาพชีวิตที่ยังไม่ค่อยดี คือ “ติดเตียง” ไม่อยากให้เห็นสภาพอย่างนั้น ยังมีความเป็นภาระอยู่ดี

จึงมองหาแนวทางทำให้คนที่ยังไม่ถึงช่วงวัยต้องเป็นภาระคนอื่น แต่ให้สามารถอยู่ได้ ดูแลตัวเองมากที่สุดเท่าที่ทำได้ เป็นโจทย์สำคัญ อย่างประเทศญี่ปุ่นซึ่งเป็นสังคมผู้สูงอายุเช่นกัน เขาดูแลให้ผู้สูงอายุให้มีสุขภาพอนามัยที่แข็งแรงมากๆ แม้กระทั่งหางานให้ทำ เพื่อจะเป็นช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตจริงๆ จึงจะต้องมารับการปรนนบัติจากลูกหลานและภาครัฐ

“ก็คงต้องมีแพ็กเกจบางอย่างสร้างขึ้นมาเพื่อดูแลกลุ่มผู้สูงอายุ จะนำไปหารือผู้บริหาร สธ.ที่กำลังจะเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ คงใช้เวลาไม่นาน หลังเข้ารับตำแหน่งและแถลงนโยบายต่อรัฐสภาแล้ว ก็คงจะมอบให้ รมว.สธ.ท่านใหม่นำไปปฏิบัติงานร่วมกับบุคลากรสธ. คิดว่าด้วยพื้นฐานที่ดีของ สธ.เข้าใจเป้าหมายเดียวกันอยู่แล้วคงไม่มีปัญหาอะไร ในการนำไปพัฒนาและไปปฏิบัติดำเนินการต่อไป” นายกฯอนุทิน กล่าว

อีกทั้ง เรื่องระบบแจ้งข้อมูลข่าวสารสร้างความเข้าใจประชาชน ไม่ใช่ป่วยคนเดียว 40 คนต้องหยุดงาน หายไป 10 วัน ต้องเสียค่าใช้จ่ายต่างๆ จึงควรต้องพิจารณาเรื่อง home isolation package สร้าง Health medical literacy หากเจอสถานการณ์สุขภาพรูปแบบนี้ จะทำอย่างไรให้คนปลอดภัย และสามารถควบคุมงบประมาณไม่ให้เกิดการสูญเสียโดยไม่เกิดประโยชน์ใดๆ ต้องคิดสำหรับรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินทางสาธารณสุขต่อไป

วางรากฐาน “ปฐมภูมิ”ให้เข้มแข็ง

ขณะที่ข้อเสนอนโยบายสาธารณสุข ที่สามารถขับเคลื่อนได้ทันทีให้เกิดผลในระยะเวลาสั้น 8 เดือนของรัฐบาลใหม่ นพ.สุเทพ เพชรมาก เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ให้สัมภาษณ์ว่า รัฐบาลใหม่ในระยะเร่งด่วน 3-4 เดือนนี้ มีข้อเสนอให้มุ่งเน้นการปฏิรูปและเสริมสร้างระบบปฐมภูมิให้เข้มแข็งอย่างเป็นรูปธรรม เป็นทิศทางของประเทศที่ต้องดำเนินการ โดยอาจเริ่มต้นจากการจัดให้ “คนไทยทุกคนมีหมอประจำตัว 1 คนต่อประชากร 10,000 คน”

พร้อมจัดระบบส่งต่อที่ดี และดึงบุคลากรทางการแพทย์ที่เกษียณอายุแล้วมาช่วยงาน โดยมีค่าตอบแทนที่เหมาะสม การดำเนินการสามารถทำได้ทันที และเห็นผลได้สำเร็จ เนื่องจากระบบและเทคโนโลยีต่างๆ พร้อมรองรับเข้ามาช่วยในการให้คำปรึกษาและดูแลผู้ป่วยทางออนไลน์ รวมถึงการจัดส่งยาถึงบ้าน เหมือนที่เคยทำในช่วงสถานการณ์โควิด-19

“เรื่องนี้ทุกอย่างพร้อมอยู่แล้ว รอเพียงคนมาประกาศนโยบายตู้มเดียว รพ.ทำได้เลยทันที ซึ่งการมีระบบปฐมภูมิที่เข้มแข็ง จะทำหน้าที่เป็นฐานรากในการดูแลสุขภาพของประชาชนตั้งแต่เกิดจนตาย ทั้งการดูแลหญิงตั้งครรภ์และเด็กแรกเกิด ผู้พิการ และผู้สูงอายุได้อย่างทั่วถึง” นพ.สุเทพกล่าว

ผลักดันแยกสธ.จากก.พ.

ในมุมมอง พญ.ภาวิณี เอี่ยมจันทน์ ประธานชมรมโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป เห็นว่า แม้ระยะเวลาการดำรงตำแหน่งของรมว.สาธารณสุขคนใหม่อาจไม่มาก แต่หากรมต. ได้เห็นข้อมูลที่แท้จริงของปัญหาระบบสาธารณสุข ทั้งปัญหาสภาวะกำลังคนสุขภาพ เจ้าหน้าที่ บุคลากรเหนื่อยล้ามาก ไม่ได้ดูแลสุขภาพตัวเอง เนื่องจากภาระงานหนักมาก

ยื่นโจทย์วัดฝีมือ 'รมว.สธ.(มือใหม่)' Quick Win 4+4 เดือน ทำได้ทันที เกิดผล

ดังนั้น รมว.สาธารณสุขคนใหม่ ควรผลักดัน (ร่าง) พ.ร.บ. แยก สธ.ออกจากสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน(ก.พ.) เพื่อให้สามารถกำหนดค่าตอบแทนที่เหมาะสม และบริหารอัตรากำลังคนในวิชาชีพที่ขาดแคลนได้เอง

“แม้มีเวลาเพียง 4 เดือน แต่สามารถให้ทิศทางและผลักดันให้เกิดขึ้นจริง เนื่องจากร่างกฎหมายนี้เสร็จแล้ว เพียงแต่ต้องรอผู้ผลักดันเรื่องนี้ให้เป็นจริง ผ่านการพิจารณาของครม.ชุดใหม่” พญ.ภาวิณี กล่าว

อย่าบีบเอกชนจนมีข้อจำกัดลงทุน

ด้าน นพ.ไพบูลย์ เอกแสงศรี นายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน ให้สัมภาษณ์ว่า การจัดตั้งรัฐบาลใหม่ หรือความไม่แน่นอนทางการเมืองโดยรวมแล้ว ปัจจัยทางการเมืองเหล่านี้ ไม่ใช่สิ่งที่น่ากังวลสำหรับโรงพยาบาลเอกชนมากนัก ส่งผลกระทบต่อธุรกิจไม่มาก โดยความเชื่อมั่นด้านการลงทุนในภาคการผลิตอาจได้รับผลกระทบมากกว่า แต่ภาคการแพทย์กลับไม่ค่อยได้รับผลกระทบในระดับเดียวกัน เว้นแต่จะเกิดเหตุการณ์รุนแรง เช่น สงคราม หรือเหตุการณ์วุ่นวายภายในประเทศอย่างรุนแรง

โรงพยาบาลเอกชนต้องพึ่งพาการลงทุนของตนเอง แตกต่างจากโรงพยาบาลรัฐที่สามารถรองรับการให้บริการฟรีได้อยู่แล้ว การแข่งขันที่เป็นธรรมและกติกาที่ชัดเจน จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้โรงพยาบาลเอกชนสามารถลงทุนและพัฒนาบริการได้อย่างเต็มที่ ท่ามกลางสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่กำลังปรับตัวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ

“อย่าคอยดึงขาหรือบีบมาก จนทำให้มีความจำกัดในการลงทุน ต้องให้เอกชนสามารถพัฒนาเต็มที่ ช่วยกันดึงเงินเข้ามาในประเทศไทย ควรส่งเสริมภาพรวม ขอให้รัฐบาลสนับสนุนจริงๆ อย่างการควบคุมคุณภาพมาตรฐานเป็นเรื่องสำคัญ แต่การประชาสัมพันธ์ทำไม่ได้ จะกลายเป็นเรื่องของโฆษณา ซึ่งสถานพยาบาลเอกชนไม่สามารถทำได้” นพ.ไพบูลย กล่าว

ขับเคลื่อนตามมติสมัชชาสุขภาพ 

ผศ.พงค์เทพ สุธีรวุฒิ ประธานอนุกรรมการขับเคลื่อนและติดตามการดำเนินงานตามมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพสังคมและสุขภาวะ กล่าวว่า รัฐบาลอนุทิน สามารถนำเอาแนวทางตามข้อมติในมติสมัชชาสุขภาพ ซึ่งมีทั้งประเด็นเร่งด่วนอย่างภัยพิบัติ ฝุ่นควัน ประเด็นปัจจุบันอย่างโรคไม่ติดต่อ (NCDs) หรือประเด็นอนาคตอย่างสุขภาวะสังคมสูงวัย ไปประยุกต์หรือปรับใช้ในการทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาประเทศได้ทันที เพราะมติดังกล่าวผ่านกระบวนการการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนบนหลักวิชาการมาแล้ว และยังสอดคล้องกับนโยบายหลักของรัฐบาล หน่วยงาน และกระทรวงต่างๆ

ทั้งนี้ ตลอด 17 ปี ที่ผ่านมา มีมติสมัชชาสุขภาพฯ รวม 98 มติ และในงานสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 18 พ.ศ. 2568 จะพิจารณาเพิ่มอีก 5 มติ ส่วนใหญ่สอดคล้องและมีส่วนสนับสนุนนโยบายของรัฐบาล เช่น มติการส่งเสริมความเข้มแข็งกลไกการบริหารจัดการน้ำเชิงพื้นที่ ซึ่งตรงกับปัญหาของประเทศและตรงกับนโยบายเร่งด่วนของนายกรัฐมนตรีอนุทิน ที่ต้องการแก้ปัญหาภัยคุกคามและส่งผลต่อการดำเนินชีวิตของประชาชนใน 4 ด้าน โดยหนึ่งในนั้นคือภัยธรรมชาติ ที่จะต่อยอดไปสู่การทำระบบเตือนภัย ระบบเยียวยาฟื้นฟู การเร่งชดเชยผู้ประสบภัยอย่างทันท่วงทีและเป็นธรรม

ส่วนสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 18 พ.ศ. 2568 จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 27-28 พ.ย. 2568 ณ อาคารอิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี จ.นนทบุรี ภายใต้ประเด็นหลัก (Theme) คือ “เศรษฐกิจยุคใหม่ สร้างสุขภาวะไทยยั่งยืน” มีประเด็นที่อยู่ในระหว่างการพัฒนาข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อบรรจุเป็นระเบียบวาระจำนวน 5 ประเด็น ได้แก่

1. การสร้างโอกาสในเศรษฐกิจสูงวัย (silver economy)

2. ผลกระทบของภูมิรัฐศาสตร์ต่อระบบสุขภาพไทย

3. การขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านพลังงานอย่างเป็นธรรมด้วยพลังงานแสงอาทิตย์

4. ระบบบริหารจัดการเพื่อสุขภาวะในวิกฤติซ้อนวิกฤติ

5. กลไกพัฒนาที่ยั่งยืน