คนไทยตายจาก ‘โรคNCDs’ 1,000 ราย/วัน ชงรัฐอุดหนุน ‘ฟิตเนส คนละครึ่ง’

คนไทยตายจาก ‘โรคNCDs’ เฉลี่ยวันละกว่า 1,000 ราย ชงรัฐอุดหนุน ‘ฟิตเนส คนละครึ่ง’ จูงใจคนเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ สร้างสภาพแวดล้อมลดโรคไม่ติดต่อ”
KEY
POINTS
- คนไทยเสียชีวิตจากกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เฉลี่ยวันละกว่า 1,000 คน หรือคิดเป็น 81% ของสาเหตุการเสียชีวิตทั้งหมด
- มีการเสนอแนวคิดให้รัฐบาลออกมาตรการ "ฟิตเนส คนละครึ่ง" เพื่อเป็นแรงจูงใจให้ประชาชนออกกำลังกาย โดยรัฐช่วยอุดหนุนค่าบริการ
- ข้อเสนอดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของแผน "NCDs Ecosystem" ที่มุ่งสร้างสภาวะแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาพและลดปัจจัยเสี่ยงของโรค
- นอกจากนี้ยังมีการเสนอแนวคิดอื่น ๆ เพื่อสร้างแรงจูงใจ เช่น การนำโมเดล "หวยเกษียณ" มาปรับใช้กับการสะสมแคลอรีจากการออกกำลังกายเพื่อลุ้นรางวัล
ข้อมูลจาก กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) ระบุว่าคนไทยเสียชีวิตจาก โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือ โรคNCDs ปีละกว่า 400,000 ราย เฉลี่ยวันละกว่า 1,000 ราย คิดเป็น 81 % ของสาเหตุการเสียชีวิตทั้งหมด สาเหตุมาจากปัจจัยเสี่ยงด้านพฤติกรรม สิ่งแวดล้อม และระบบการเผาผลาญของร่างกาย
ทั้งนี้ ประเทศไทยดำเนินงานตามกรอบ 9 เป้าหมาย ลดโรค NCDs ระดับโลก พบว่า โอกาสการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรจากโรค NCDs มีแนวโน้มลดลงเล็กน้อยจาก 14.8 % ในปี 2553 เป็น 14.6 % ในปี 2565 ซึ่งค่าเป้าหมายในปี 2568 คือ 11.07 % ส่วนตัวชี้วัดอื่นๆ มีแนวโน้มลดลงเล็กน้อย ได้แก่ ปริมาณการบริโภคแอลกอฮอล์ต่อหัวประชากรต่อปี ค่าเฉลี่ยปริมาณการบริโภคเกลือโซเดียมต่อคนต่อปี และความชุกของการสูบบุหรี่
ชงฟิตเนสคนละครึ่ง จูงใจคน
นพ.โสภณ เมฆธน ประธานคณะกรรมการพัฒนานโยบายสาธารณะว่าด้วยการสานพลังสร้างสภาวะแวดล้อมทางกายภาพและสังคมเพื่อลดโรคไม่ติดต่อ 1/2568 สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) กล่าวว่า แนวทางในการลดโรคไม่ติดต่อ (NCDs) ตามมติสมัชชาสุขภาพเฉพาะประเด็นฯ มุ่งสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และนํามติไปขับเคลื่อนในระดับพื้นที่ ภายใต้แผนปฏิบัติการขับเคลื่อนนโยบายเพื่อส่งเสริมการสร้างสภาวะแวดล้อมทางกายภาพและทางสังคมเพื่อลดโรคไม่ติดต่อ หรือ NCDs Ecosystem
สำหรับ แผน NCDs Ecosystem มีกรอบทิศทางนโยบายในการใช้มาตรการ 3:5:5 เพื่อลดโรค NCDs ประกอบด้วย “3 กลไกสร้างแรงจูงใจ” 1. เศรษฐศาสตร์พฤติกรรม 2. กลไกการคลัง 3. เครดิตทางสังคม ร่วมกับ “5 มาตรการหลัก” คือ
1. จัดระเบียบ ลดการเข้าถึงสินค้าทำลายสุขภาพ
2. ส่งเสริมการผลิตและเข้าถึงสินค้าดีต่อสุขภาพ
3. สร้างสิ่งแวดล้อมเอื้อต่อสุขภาพ
4. สื่อสาร-จำกัดการโฆษณา ส่งเสริมความรอบรู้สุขภาพ
5. สร้างประสบการณ์ พัฒนาศักยภาพคน
ภายใต้ “5 ระบบและกลไกหนุนเสริม” 1. เครื่องมือนโยบาย มาตรฐาน 2. นวัตกรรม โมเดล การขยายผลเชิงระบบ 3. ระบบเฝ้าระวัง บังคับใช้กฎหมาย 4. ระบบกำกับ ติดตาม ประเมินผล 5. ระบบบริหาร ตัดสินใจ และสนับสนุนการลงทุน
ปัจจัยของการลดโรค NCDs ต้องมุ่งความสำคัญในสองเรื่อง ได้แก่ การลดน้ำหนักควบคู่กับการออกกำลังกาย เรื่องนี้สามารถขับเคลื่อนได้ทั้งสองระดับคือในระดับนโยบายส่วนกลาง ที่ต้องแสวงหามาตรการหรือนวัตกรรมเข้ามาช่วยสร้างการเปลี่ยนแปลงในภาพกว้าง กับอีกส่วนคือการขับเคลื่อนในระดับพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นในระดับท้องถิ่น หน่วยงาน องค์กร หรือชุมชน ที่จะนำเครื่องมือหรือนวัตกรรมที่เกิดขึ้นไปประยุกต์ใช้ได้อย่างเหมาะสมสอดคล้องกับบริบทของแต่ละแห่ง
“ระดับนโยบายตัวอย่างเช่น หากปัจจุบันมีการพูดถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยโครงการ คนละครึ่ง เราจะนำมากระตุ้นการออกกำลังกายด้วยได้หรือไม่ เมื่อประชาชนไปสมัครฟิตเนสแล้วรัฐช่วยออกให้อีกส่วนแบบนี้ เป็นต้น ซึ่งบางองค์กรเอกชนก็มีการทำในลักษณะ”นพ.โสภณ กล่าว
กรณี “หวยเกษียณ” ที่เป็นการออมเงินและลุ้นรางวัล ถ้าเอามาใช้กับกิจกรรมทางกายภาพ เดินออกกำลังกายสะสมเป็นแคลอรีเครดิตแล้วมาลุ้นรางวัลได้ เหล่านี้คือกลไกที่สามารถออกแบบมาใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างสภาวะแวดล้อมเพื่อลดโรค NCDs
ระดับพื้นที่ขับเคลื่อนำก่อน
ขณะเดียวกันในระดับพื้นที่ สามารถดำเนินเป็นนโยบายของท้องถิ่น ตัวอย่างเช่นกรุงเทพมหานคร (กทม.) ที่ใช้กลไกภาษีที่ดินกระตุ้นให้ภาคเอกชนนำที่ดินเปล่ารกร้างมาให้ กทม. ทำสวน 15 นาที เป็นการปรับสภาพแวดล้อมที่ช่วยกระตุ้นกิจกรรมทางกาย (Physical Activity: PA)
หรือบางจังหวัดนำเครื่องมือ Calories Credit Challenge (CCC) ของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ไปสร้างแรงจูงใจให้คนออกกำลังกาย เป็นต้น นอกจากนี้อีกส่วนสำคัญคือพัฒนาระบบฐานข้อมูล Big Data รวมถึงระบบการกำกับ ติดตาม ประเมินผล เพื่อที่จะสามารถชี้วัดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทางสุขภาพของประชาชนได้
“รัฐบาลใหม่ นายกรัฐมนตรีเคยเป็น รมว.สาธารณสุข เชื่อว่าท่านรู้ว่าคุณภาพชีวิตและสุขภาพของประชาชนเป็นสิ่งสำคัญ มาตรการอะไรที่ดีและตรงกับนโยบายของท่าน ก็น่าจะถูกดึงไปขับเคลื่อนได้ในเร็ววัน ซึ่งก็ต้องรอติดตามกันต่อไป” นพ.โสภณ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ไม่จำเป็นที่จะต้องรอให้มีนโยบายระดับประเทศออกมาเท่านั้น เพราะในระดับจังหวัด องค์กร ชุมชน ล้วนสามารถเดินหน้าทำในภาพของแต่ละแห่งไปได้เลย มีอะไรเป็นนวัตกรรม รูปแบบการขับเคลื่อนที่ดี ก็สามารถนำมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้และขยายไปด้วยกัน
หารือตลท.กำหนดเกณฑ์สุขภาพเข้า ESG
ทั้งนี้ ภายในที่ประชุมดังกล่าวได้มีการนำเสนอถึงความคืบหน้าในการขับเคลื่อน NCDs ของภาคส่วนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการผลักดันร่าง พ.ร.บ.โรคไม่ติดต่อ พ.ศ. ... ซึ่งปัจจุบันยังไม่ผ่านเข้า ครม. จึงต้องรอเสนอในโอกาสถัดไป, การนำมาตรการจูงใจทางภาษีเพื่อส่งเสริมกิจกรรมทางกายภายในประเทศไทย ซึ่งจำเป็นจะต้องมีการศึกษาทางวิชาการเพิ่มเติม, การส่งเสริมบทบาทภาคธุรกิจเอกชน
สช. ได้หารือกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ถึงการบูรณาการมิติด้านสุขภาพเข้ากับเกณฑ์ Environment Social Governance (ESG) ซึ่งจะมีการศึกษาวิเคราะห์เพื่อหาแนวทางการผนวกเข้าในเกณฑ์ใหม่ที่ ตลท. จะใช้ในปีหน้า รวมถึงจะมีการประสานความร่วมมือกับสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ ในการผนวกมิติสุขภาพกับหลักสูตรการจัดฝึกอบรมให้กับผู้ประกอบการ ภาคธุรกิจเอกชนต่างๆ
นอกจากนี้ ยังมีความคืบหน้าของการดำเนินงานขับเคลื่อน “NCDs Ecosystem” และมาตรการ 3:5:5 ใน 8 จังหวัดนำร่อง ได้แก่ น่าน ชัยนาท ตราด กาญจนบุรี มหาสารคาม หนองบัวลำภู สุราษฎร์ธานี และยะลา ซึ่งพบว่าแต่ละแห่งมีกิจกรรมเด่นๆ เช่น การปรับพฤติกรรมด้านอาหาร ขยายกิจกรรมสุขภาพสู่โรงเรียนและชุมชน, โครงการตื่นเค็ม ลดเค็มในบ้าน วัด ร้านค้า, โครงการเต้นแลกแต้ม 21 วัน ฯลฯ โดยจากการถอดบทเรียนพบว่าการแก้ไขปัญหา NCDs ต้องไม่หยุดที่การรณรงค์พฤติกรรมรายบุคคล แต่ต้องสร้างสภาพแวดล้อม นโยบาย รวมถึงระบบสนับสนุน
เล็งบรรจุปัญหา NCDs แผนระดับชาติ
นายสุทธิพงษ์ วสุโสภาพล รองเลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (คสช.) กล่าวว่า ภารกิจการขับเคลื่อนงานด้าน NCDs ของ สช. และภาคีเครือข่ายขณะนี้ นอกจากการเดินหน้าผลักดันตามมติสมัชชาสุขภาพฯ เพื่อให้เกิดผลตามโรดแมปแล้ว อีกส่วนหนึ่งยังเป็นการนำนวัตกรรมในระดับพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนเบาหวานวิทยา ชุมชนอ่อนหวาน ฯลฯ ซึ่งเป็นตัวอย่างรูปธรรมของการทำงาน มายกระดับเป็นข้อเสนอเชิงนโยบายใหม่ที่ คสช. สามารถนำเสนอเข้าสู่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อให้เกิดการดำเนินงานกับหน่วยงานที่มีบทบาทหน้าที่ได้
“มองว่า NCDs เป็นปัญหาร่วมของสังคม จะให้แก้ฝ่ายใดฝ่ายเดียวคงสำเร็จยาก ภาคสาธารณสุขเองก็ขับเคลื่อนอย่างเต็มที่ แต่ก็ต้องการกำลังของทุกส่วนเข้ามาช่วยกัน ดังนั้นสช. จึงกำลังหารือร่วมกับสภาพัฒน์ ในการนำประเด็นนี้เข้าสู่แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 14 ซึ่งอยู่ระหว่างการจัดทำ เพื่อให้เรื่องนี้กลายเป็นแผนระดับชาติ ซึ่งจะมีโอกาสทำให้การขับเคลื่อนเชิงนโยบาย และในทางปฏิบัติได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่” นายสุทธิพงษ์ กล่าว







