'ขอตายดี' คนทุก Gen มีสิทธิตามกฎหมาย ไม่รักษา เพียงเพื่อ ‘ยืดชีวิต’

6 เดือนท้ายของชีวิต ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพอาจสูงถึง 50 % ของทั้งชีวิต สช.ย้ำคนไทยทุกคนมีสิทธิตามกฎหมายทำ "พินัยกรรมชีวิต" ปฏิเสธการรักษาที่เพียงเพื่อ "ยืดชีวิต"
KEY
POINTS
- ประชาชนมีสิทธิตามกฎหมาย (พ.ร.บ. สุขภาพแห่งชาติ มาตรา 12) ในการทำ "พินัยกรรมชีวิต" (Living Will) เพื่อแสดงเจตนาล่วงหน้าที่จะไม่รับการรักษาที่ทำไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิต
- การ "ตายดี" ไม่ใช่การุณยฆาต แต่คือการตายอย่างสงบตามธรรมชาติเมื่ออยู่ในระยะสุดท้ายของโรคที่รักษาไม่หาย โดยผู้ป่วยยังคงได้รับการดูแลแบบประคับประคอง (Palliative Care) เพื่อบรรเทาความทุกข์ทรมาน
- การยืดชีวิตผู้ป่วยระยะสุดท้ายด้วยเทคโนโลยีโดยไม่จำเป็น สร้างความทุกข์ทรมานให้ผู้ป่วย และเป็นภาระค่าใช้จ่ายมหาศาลต่อครอบครัวและระบบสาธารณสุข
- มีการพัฒนาระบบ "E-Living Will" หรือพินัยกรรมชีวิตอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้ประชาชนสามารถจัดทำและจัดเก็บเจตนาของตนเองในระบบออนไลน์ที่เชื่อมโยงกับโรงพยาบาล ทำให้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น
ในยุคที่สังคมกำลังมีความก้าวหน้าทางการแพทย์ที่สามารถยืดชีวิตคนได้ยาวนานขึ้น ‘การตายดี’ หรือ ‘พินัยกรรมชีวิต’ จึงไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป แต่คือสิทธิพื้นฐานที่ควรได้รับการดูแล เพื่อให้บั้นปลายชีวิตเป็นไปอย่างสงบ มีศักดิ์ศรี และช่วยลดภาระอันหนักอึ้ง ทั้งต่อผู้ป่วย ครอบครัว และระบบสาธารณสุขของประเทศ
แต่กว่าจะไปถึงจุดนั้น ประเทศไทยยังต้องเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน ทั้งเรื่องความเข้าใจ การเข้าถึง และการเชื่อมโยงระบบ เพื่อขับเคลื่อนวาระสำคัญนี้ให้เป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง
ภาระอันหนักอึ้งของการ "ยืดชีวิต"
เทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ก้าวหน้าในปัจจุบันได้ช่วย ‘ยืดชีวิต” ผู้คนได้ยาวนานขึ้น แต่ในบางกรณี การยืดชีวิตออกไปนั้น กลับนำมาซึ่งความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส ทั้งต่อตัวผู้ป่วยเองที่ต้องนอนติดเตียง หรืออยู่ในห้อง ICU เป็นเวลานาน หลายคนต้องใส่เครื่องช่วยหายใจอยู่ได้เป็นปีโดยที่ไม่มีสติรับรู้ สถานการณ์เช่นนี้ไม่เพียงแต่สร้างความเจ็บปวดให้กับผู้ป่วยเท่านั้น แต่ยังเป็นภาระอันหนักอึ้งที่ถาโถมเข้าใส่ทั้งครอบครัวและระบบสาธารณสุขของประเทศ
เมื่อผู้ป่วยอยู่ในระยะสุดท้าย การรักษาพยาบาลเพื่อยืดชีวิตออกไปกลับส่งผลกระทบหลายมิติ
1. ความทรมานของผู้ป่วย การอยู่ในห้อง ICU หรือการนอนติดเตียงนานๆ โดยไร้การรับรู้ มักนำมาซึ่งความเจ็บปวดทางกายและใจ แม้จะพยายามยื้อชีวิตไว้ก็ตาม
2. ภาระของโรงพยาบาล เตียงในโรงพยาบาล โดยเฉพาะในห้อง ICU มักจะแน่นขนัด และการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่ต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ทำให้โรงพยาบาลต้องแบกรับภาระงานและค่าใช้จ่ายที่สูงลิ่ว.
3. ภาระของครอบครัว ลูกหลานหลายคนต้องเสียสละลาออกจากงาน เพื่อมาดูแลพ่อแม่หรือญาติสนิทที่อยู่ในระยะสุดท้าย นอกจากนี้ ยังมีภาระทางใจจากการต้องตัดสินใจเกี่ยวกับการรักษาที่ยืดเยื้อ
4. ค่าใช้จ่ายที่มหาศาล ค่าใช้จ่ายในการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากต้องนอนในโรงพยาบาลเอกชน หรือใช้เครื่องมือแพทย์ราคาแพง อาจสูงถึงหลักล้านบาท หรือกระทั่งสิบล้านบาทได้ในเวลาอันสั้น
พินัยกรรมชีวิต ปฏิเสธรักษาเพียงเพื่อยืดชีวิต
นพ.สุเทพ เพชรมาก เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) กล่าวว่า พ.ร.บ. สุขภาพแห่งชาติมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2550 ซึ่งมาตรา 12 ให้สิทธิประชาชนในการแสดงเจตนาล่วงหน้า ในการที่จะไม่รับบริการสาธารณสุขที่ทำไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิต หรือการทำ “พินัยกรรมชีวิต(Living Will)”
หัวใจสำคัญของช่วงสุดท้ายของชีวิต คนเราถ้าเลือกได้ ก็คงอยากมีอายุยืนพอสมควร และอยากให้ช่วงเวลาแห่งความทุกข์ทรมานในระยะท้ายนั้นสั้นที่สุด เรื่องการตายดี ไม่ใช่การเร่งให้ตาย แต่เป็นการตายอย่างสงบตามธรรมชาติ ไม่ยืดเยื้อด้วยเทคโนโลยีการแพทย์ที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ และสร้างความทรมานทั้งต่อผู้ป่วยและภาระค่าใช้จ่ายมหาศาลต่อครอบครัวและระบบสุขภาพของรัฐ
ค่าใช้จ่ายในระยะท้ายบางครั้งหาเงินมาทั้งชีวิตก็หมด โดยตัวเลขค่าใช้จ่ายระยะท้ายที่เป็นเพียงการยืดชีวิตในประเทศยังไม่ชัด แต่ในต่างประเทศมีตัวเลขที่ชัดเจนว่า ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพในช่วง 6 เดือนสุดท้ายของชีวิตอาจสูงถึง ครึ่งหนึ่งของค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพตลอดทั้งชีวิต เงินเก็บทั้งชีวิตอาจหมดไปกับค่ารักษาพยาบาลในช่วงเวลานี้
“ทั้งชีวิตเมื่อก่อนเจ็บป่วย ก็ใช้เงินไม่มาก แต่ 6 เดือนท้ายที่ต้องใช้เครื่องไม้เครื่องมือหรือต้องรักษาในห้องICU จะสูงมาก ทั้งค่าใช้จ่ายของครอบครัวเอง หรือของภาครัฐ เป็นการรักษาเพียงเพื่อยืดชีวิตของผู้ป่วยระยะท้าย ขณะที่ผู้ป่วยก็ต้องยืดเวลาที่ทุกข์ทรมานออกไปจากการนอนอยู่รพ.”นพ.สุเทพกล่าว
E-Living Will” พินัยกรรมชีวิตอิเล็กทรอนิกส์
ที่ผ่านมามีอุปสรรค คือ
1.คนส่วนใหญ่ยังไม่ทราบว่ามีสิทธิตามกฎหมายนี้
2. เมื่อทราบแล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะไปทำที่ไหน อย่างไร
และ 3. แม้ทำเป็นเอกสารไว้แล้ว แต่เมื่อถึงเวลาฉุกเฉิน โรงพยาบาลหรือแพทย์อาจไม่ทราบถึงเจตนานั้น ก็ต้องทำการรักษาเต็มที่ไปก่อน นอกจากนี้ ยังอาจมีปัญหาความเห็นไม่ตรงกันในหมู่ลูกหลาน
การแก้ปัญหา สช. จึงได้พัฒนาระบบ “E-Living Will” หรือพินัยกรรมชีวิตในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ขึ้นมา เพื่อให้คนสามารถทำและจัดเก็บเจตนาของตนเองไว้ในระบบออนไลน์ สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา (Anytime, Anywhere)
ระบบนี้จะเชื่อมข้อมูลกับโรงพยาบาลที่เข้าร่วมโครงการ ทำให้เมื่อถึงเวลาวาระท้ายของชีวิต แพทย์สามารถตรวจสอบเจตนาของผู้ป่วยได้ทันที ช่วยลดความขัดแย้งและทำให้ความประสงค์ของผู้ป่วยได้รับการตอบสนอง
“ตายดี” ไม่ใช่การุณยฆาต
อย่างไรก็ตาม มีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเรื่อง “ตายดี” ว่าเป็นการุณยฆาต หรือกลัวว่าเมื่อทำ Living Will แล้วจะถูกแพทย์ทอดทิ้งที่จะไม่รักษา นพ.สุเทพ อธิบายว่า เป็นประเด็นที่ต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจน โดยการแสดงเจตนาตามมาตรา 12 ไม่ใช่การุณยฆาตอย่างแน่นอน ซึ่งการุณยฆาต เป็นการกระทำที่ทำให้บุคคลเสียชีวิตโดยเจตนา และในประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายรองรับ
ทั้งนี้ “ตายดี” ไม่ใช่สำหรับการปฏิเสธการรักษาในกรณีที่ยังสามารถเยียวยาได้ แต่หมายถึงการที่บุคคลสามารถกำหนดเจตนาของตนเอง ในการไม่ต้องการรับการรักษาที่ยืดชีวิตออกไปอย่างทรมาน ในกรณีที่อยู่ในระยะสุดท้ายของชีวิต และไม่สามารถฟื้นกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีได้อีก เป้าหมายให้จากไปอย่างเป็นธรรมชาติและสงบที่สุดในวาระสุดท้ายของชีวิต ต้องผ่านการวินิจฉัยของแพทย์ จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ
1.ผู้ป่วยอยู่ในระยะท้ายของชีวิต
2. เป็นโรคที่รักษาไม่หายแล้ว ซึ่ง
“กรณีที่คนอดข้าวประท้วงแล้วทำพินัยกรรมชีวิตไว้ว่าจะไม่รับการช่วยเหลือยื้อชีวิต แบบนี้ไม่เข้าข่ายมาตรา 12 เพราะเขายังไม่ได้อยู่ในวาระสุดท้ายของชีวิตจากโรคที่รักษาไม่หาย”นพ.สุเทพอธิบายเพิ่มเติม
ไม่ยืดชีวิต แต่ยังดูแลผู้ป่วย
ที่สำคัญ การทำ Living Will ไม่ได้หมายความว่าแพทย์จะทอดทิ้งผู้ป่วย แต่จะมีระบบการดูแลแบบประคับประคอง (Palliative Care) หรือที่รัฐบาลเรียกว่า “ชีวาภิบาล” จะยังคงทำงานอย่างเต็มที่ แพทย์และพยาบาลยังคงให้การดูแล เพื่อบรรเทาความเจ็บปวดหรืออาการต่าง ๆ ให้ผู้ป่วยสุขสบายที่สุด เพียงแต่จะไม่ใช้เครื่องมืออุปกรณ์ที่มุ่งยืดชีวิตอย่างเดียว โดยที่ผู้ป่วยไม่รับรู้อะไรแล้ว
“การตายดีไม่ได้หมายถึงการทอดทิ้งผู้ป่วย แต่ยังคงมีการดูแลอย่างใกล้ชิด เช่น การจัดการความปวด การให้ยา หรือการส่งเสริมการดูแลแบบประคับประคองที่บ้าน เพื่อให้ผู้ป่วยได้จากไปอย่างสงบและมีศักดิ์ศรีที่สุด”นพ.สุเทพกล่าว
การทำพินิยกรรมชีวิต
1. เข้าระบบที่เว็บไซด์ https://e-livingwill.nationalhealth.or.th
2. สมัครเป็นผู้ใช้ระบบ โดยการสร้างบัญชีการใช้งานด้วย ThaiD หรือเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก
3.จัดทำหนังสือแสดงเจตมาที่ต้องการ โดยท่านที่มีหนังสือเดิมอยู่แล้ วสามารถเลือกทำในรูปแบบการแนบไฟล์ หรือ "ทำใหม่"ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์
4. หนังสือแสดจเจตนาฯ จะถูกจัดเก็บในระบบ สามารถเรียกดู พิมพ์ ส่งต่อให้ผู้ตัดสินใจแทน ปรับปรุงให้เป็นปัจจุบันและยกเลิกหนังสือได้ด้วยตนเอง
5. สถานพยาบาลและกาคีเครือข่ายที่ขึ้นทะเบียนใช้ระบบ สามารถค้นหาเรียกดู และสถานพยาบาลให้การรักษาตามเจตนา







