'รพ.รัฐ' สังกัดสธ. พลิกเกมรุกแบ่งเค้ก 1.5 แสนล้าน มา 10 %

'รพ.รัฐ' สังกัดสธ. พลิกเกมรุกแบ่งเค้ก 1.5 แสนล้าน มา 10 %

รพ.รัฐสังกัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.)เปิดเกมชิงตลาด ‘ประกันสุขภาพเอกชน’ เม็ดเงิน 1.5 แสนล้านบาท นำร่อง 35 แห่งมุ่งต่างจังหวัด หวังส่วนแบ่ง 10 % เป็นเงิน 15,000 ล้าน เท่างบประมาณลงทุนกระทรวง เล็งออกแพ็กเกจประกันสุขภาพแบบใหม่สำหรับรพ.รัฐ เบี้ยถูกลง

KEY

POINTS

  • กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ตั้งเป้าให้โรงพยาบาลรัฐในสังกัดดึงส่วนแบ่งตลาดประกันสุขภาพเอกชนมูลค่า 1.5 แสนล้านบาทให้ได้อย่างน้อย 10% หรือคิดเป็น 15,000 ล้านบาทต่อปี เพื่อเพิ่มรายได้และแก้ปัญหาการเงิน
  • ใช้กลไกหลักคือระบบดิจิทัล "iClaim" เพื่อให้ผู้ป่วยไม่ต้องสำรองจ่าย และเตรียมออกระเบียบ "หนังสือสีม่วง" เพื่อปลดล็อกให้แพทย์สามารถให้บริการผู้ป่วยกลุ่มนี้ได้อย่างเป็นทางการ
  • เริ่มโครงการนำร่องในโรงพยาบาล 35 แห่งทั่วประเทศ พร้อมพัฒนารูปแบบบริการใหม่ เช่น เปิดคลินิกนอกโรงพยาบาล และร่วมมือกับบริษัทประกันออกแพ็กเกจใหม่ที่เบี้ยถูกลง

กระทรวงสาธารณสุข(สธ.)กำลังเดินเครื่องครั้งสำคัญ เกี่ยวกับโครงสร้างรายได้ของโรงพยาบาลรัฐทั่วประเทศ ผ่านนโยบาย “เพิ่มรายรับ สร้างรายได้ ยกระดับบริการรองรับประกันสุขภาพเอกชน” โดยมีเป้าหมายดึงเม็ดเงินกว่า 1.5 แสนล้านบาทต่อปีจากตลาดประกันสุขภาพเอกชน ซึ่งปัจจุบันกว่า 98 % ตกอยู่ในมือของโรงพยาบาลเอกชน

ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะสร้างรายได้ใหม่ แต่จะยกระดับคุณภาพบริการและแก้ปัญหาการเงินของโรงพยาบาลรัฐในระยะยาว ผ่านกลไกที่ถูกวางแผนมานานหลายปี ทั้งการพัฒนาระบบเคลมดิจิทัล และการร่างระเบียบใหม่ที่เรียกว่า “หนังสือสีม่วง” เพื่อปลดล็อกให้แพทย์โรงพยาบาลรัฐสามารถให้บริการผู้ป่วยประกันเอกชนได้อย่างเต็มรูปแบบ

“เดิมรพ.สธ.มีรายรับหลักจาก 3 กองทุนสุขภาพภาครัฐ ประกันสังคม บัตรทอง 30 บาท และสวัสดิการข้าราชการ เพราะฉะนั้น การขับเคลื่อนเรื่องนี้จึงมีเป้าหมายดึงส่วนแบ่งจากเม็ดเงินประกันสุขภาพเอกชนที่มูลค่าสูงถึง 1.5 แสนล้าน เข้ามาให้รพ.รัฐให้ได้อย่างน้อย 10 %หรือคิดเป็นมูลค่า 15,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งเทียบเท่ากับงบลงทุนทั้งหมดของสธ.ในแต่ละปี”แหล่งข่าวให้ข้อมูลกับกรุงเทพธุรกิจ

พัฒนาระบบ “iClaim”

แนวคิดหลักของนโยบายนี้ คือการสร้างระบบนิเวศใหม่ที่เอื้อให้รพ.รัฐสามารถ รองรับการให้บริการผู้ป่วยด้วยประกันสุขภาพเอกชน เนื่องจากปัญหาสำคัญที่ทำให้ผู้ป่วยที่ถือกรมธรรม์ประกันเอกชนไม่เลือกใช้บริการรพ.รัฐ มีสาเหตุหลักมาจากอุปสรรคเชิงระบบและกฎระเบียบที่ล้าสมัย

1. ผู้ป่วยต้องสำรองจ่ายค่ารักษาพยาบาลไปก่อน ซึ่งสร้างความไม่สะดวกและเป็นอุปสรรคสำคัญ

2. รพ.รัฐไม่มีระเบียบที่ชัดเจนในการรองรับการให้บริการและการเบิกจ่ายกับบริษัทประกัน ทำให้ไม่สามารถแข่งขันได้อย่างเต็มศักยภาพ

การทลายกำแพงดังกล่าว สธ.ได้วางรากฐานมานานกว่า 4-5 ปีแล้ว โดยเริ่มจากการพัฒนาระบบไอเคลม (iClaim) เป็นแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ออกแบบ มาเพื่อแก้ปัญหาการสำรองจ่ายโดยเฉพาะ ระบบ iClaim ทำให้ผู้ป่วยประกันเอกชน สามารถเข้ารับบริการในโรงพยาบาลรัฐได้โดยไม่ต้องควักเงินจ่ายก่อน เช่นเดียวกับที่ทำได้ในโรงพยาบาลเอกชน ซึ่งถือเป็นการแก้ปัญหาจุดอ่อน (pain point) ที่สำคัญที่สุดได้สำเร็จไปแล้วในก้าวแรก

เปิดคลินิกนอกพื้นที่รพ.ดึงผู้ป่วย

โมเดลนี้ได้รับแรงบันดาลใจ มาจากโรงพยาบาลศิริราชปิยมหาราชการุณย์ ภายใต้คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ที่แพทย์สามารถดูแลผู้ป่วยได้จากทุกสิทธิกองทุน ซึ่งจะทำให้โรงพยาบาลรัฐไม่จำกัดอยู่แค่การดูแลผู้ป่วย 3 กองทุนหลักของรัฐอีกต่อไป แต่จะสามารถเข้าถึง “กองทุนที่ 4 ” คือตลาดประกันสุขภาพเอกชนได้

รูปแบบการให้บริการที่จะเกิดขึ้น มีความยืดหยุ่นและหลากหลาย เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ป่วยและสร้างความสะดวกสบายสูงสุด หนึ่งโมเดลอย่าง การเปิดคลินิกนอกพื้นที่โรงพยาบาล เช่น ในห้างสรรพสินค้า เพื่อให้ผู้ป่วยเข้าถึงบริการได้ง่ายขึ้น

เหมือนกรณีรพ.รามาธิบดีเปิดบริการที่ห้างพาราไดซ์ นอกจากนี้ แพทย์ที่มีคลินิกส่วนตัวยังสามารถส่งต่อผู้ป่วยที่ถือประกันเอกชนเข้ามาทำการผ่าตัดในโรงพยาบาลรัฐได้ จะทำให้ทั้งโรงพยาบาลและแพทย์ได้รับประโยชน์ร่วมกัน

นำร่องรพ.สธ. 35 แห่ง

สำหรับ รพ.สธ.ที่เข้าร่วมโครงการนำร่องมีจำนวนทั้งสิ้น 35 แห่ง กระจายอยู่ทั่วทุกเขตสุขภาพของประเทศ อาทิ รพ.เชียงรายประชานุเคราะห์ และรพ.นครพิงค์ในเขตสุขภาพที่ 1, รพ.ขอนแก่นและรพ.ร้อยเอ็ดในเขตสุขภาพที่ 7, รพ.ชลบุรีและรพ.ระยองในเขตสุขภาพที่ 6, รพ.วชิระภูเก็ตและรพ.เกาะสมุยในเขตสุขภาพที่ 11 และรพ.หาดใหญ่ในเขตสุขภาพที่ 12 เป็นต้น


'รพ.รัฐ' สังกัดสธ. พลิกเกมรุกแบ่งเค้ก 1.5 แสนล้าน มา 10 %

แพ็กเกจประกันสุขภาพแบบใหม่เบี้ยถูกลง

“เบื้องต้นสธ. ได้มีการพูดคุยกับบริษัทประกันไว้แล้ว และมีแนวโน้มที่จะเกิดแพ็กเกจประกันสุขภาพแบบใหม่ ที่ออกแบบมาเพื่อใช้กับโรงพยาบาลรัฐโดยเฉพาะ ซึ่งจะทำให้เบี้ยประกันถูกลง เข้าถึงคนกลุ่มกลางในต่างจังหวัดได้มากขึ้น และไม่ต้อง Co-payment 30 %”แหล่งข่าวกล่าว

ขณะนี้อยู่ระหว่างจัดทำ (ร่าง) ระเบียบค่าชดเชยบริการและค่าตอบแทน หรือ “หนังสือสีม่วง” จะเปรียบเสมือนการปลดล็อกครั้งสำคัญ ที่จะอนุญาตให้แพทย์และบุคลากรของรพ.รัฐสามารถให้บริการผู้ป่วยกลุ่มประกันเอกชนได้อย่างเป็นทางการ ทั้งในและนอกเวลาราชการ พร้อมกำหนดอัตราค่าบริการและค่าตอบแทนที่เป็นธรรม และสามารถแข่งขันได้

หลังจากร่างระเบียบ “หนังสือสีม่วง” เสร็จสิ้น จากนั้นในไตรมาสที่ 1 ปี 2569 จะมีการหารือร่วมกับกรมบัญชีกลางและบริษัทประกันเอกชน เพื่อกำหนดอัตราค่าบริการที่เหมาะสม ก่อนที่จะเสนอให้รมว.สธ.ลงนาม คาดการณ์ว่ากระบวนการทั้งหมดอาจใช้เวลาอย่างเร็วที่สุดประมาณ 6 เดือน

มั่นใจบุคลากรเพียงพอ

ส่วนข้อกังวลเรื่องกำลังคน แหล่งข่าวยืนยันว่า บุคลากรมีเพียงพอที่จะรองรับบริการส่วนนี้ เนื่องจากแนวคิดหลักคือการใช้เวลาว่างของแพทย์เฉพาะทาง ที่ไม่ได้มีตารางผ่าตัดหรือออกตรวจทุกวัน แพทย์เหล่านี้สามารถใช้เวลาดังกล่าวไปออกตรวจที่คลินิกนอกโรงพยาบาล หรือให้บริการผู้ป่วยประกันในช่วงเวลานอกราชการได้

โมเดลนี้จะสร้างแรงจูงใจทางการเงินที่เหมาะสมให้กับบุคลากร โดยอัตราค่าตอบแทนใหม่ที่จะกำหนดใน “หนังสือสีม่วง” จะสูงกว่าอัตราปกติอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งจะดึงดูดให้บุคลากรเต็มใจที่จะให้บริการในส่วนนี้มากขึ้น รวมถึง โรงพยาบาลจะได้รับอัตราการเบิกจ่ายจากบริษัทประกันที่สูงกว่าสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (UC) ถึง 3-4 เท่า จะกลายเป็นแหล่งรายได้สำคัญในการพัฒนาโรงพยาบาลต่อไป

ไม่เหลื่อมล้ำ ตกปลาบ่อใหม่

แม้ว่านโยบายนี้จะถูกมองว่าอาจสร้างความเหลื่อมล้ำ แต่ในมุมมองของผู้ขับเคลื่อนนโยบายกลับเห็นว่า “ไม่ใช่การสร้างความเหลื่อมล้ำ” แต่เป็นการ “สร้างทางเลือก” ให้กับผู้ป่วยกลุ่มหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันก็เลือกที่จะไปใช้บริการโรงพยาบาลเอกชนอยู่แล้ว

คนกลุ่มนี้ คือ กลุ่มคนที่มีกำลังซื้อประกันสุขภาพ และเป็นกลุ่มเป้าหมายที่โรงพยาบาลรัฐไม่เคยเข้าถึงมาก่อน การดึงผู้ป่วยกลุ่มนี้กลับเข้ามาในระบบโรงพยาบาลรัฐ ไม่เพียงแต่จะไม่กระทบกับผู้ป่วยสิทธิอื่น ๆ แต่รายได้ที่เพิ่มขึ้น จะถูกนำกลับมาใช้ในการพัฒนายกระดับบริการและโครงสร้างพื้นฐานของโรงพยาบาล ซึ่งท้ายที่สุดแล้วผู้ป่วยทุกคนจะได้รับประโยชน์

แนวคิดนี้แตกต่างจากโมเดล “พรีเมียมคลินิก” ที่มีอยู่ในปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง แหล่งข่าวบอกว่า เปรียบเทียบว่าพรีเมียมคลินิกเป็นเหมือน “การตกปลาในบ่อเดิม” คือ การให้บริการแก่ผู้ป่วยกลุ่มเดิม แต่เก็บค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น

ขณะที่นโยบายใหม่นี้คือ “การไปหาปลาในบ่อใหม่” ก็คือตลาดประกันเอกชนมูลค่า 1.5 แสนล้านบาทที่ไม่เคยมีใครเข้าไปจับมาก่อน การจะดึงดูด “ปลาบ่อใหม่” ได้สำเร็จ โรงพยาบาลรัฐจำเป็นต้องยกระดับบริการของตนเอง ให้มีความสะดวก สบายและมีคุณภาพสูง ทำให้มาตรฐานของโรงพยาบาลรัฐโดยรวมดีขึ้น