นำร่อง 'รพ.สธ. 35 แห่ง' รองรับ 'ประกันสุขภาพเอกชน' ขุมเงิน 1.5 แสนล้าน

นำร่อง 'รพ.สธ. 35 แห่ง' รองรับ 'ประกันสุขภาพเอกชน' ขุมเงิน 1.5 แสนล้าน

สธ.นำร่องรพ.สธ. 35 แห่ง รองรับประกันสุขภาพเอกชน ขุมเงิน 1.5 แสนล้าน ขณะที่ขาดทุนจากดูแลต่างด้าวปีละ 4,000 - 5,000 ล้านบาท เร่งแนวทางแก้ปัญหาศูนย์ผู้หนีภัย  ชงของบกลาง 160 ล้านบาท

เมื่อวันที่ 3 ก.ย.2568 ที่กระทรวงสาธารณสุข นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข แถลงภายหลังการประชุมผู้บริหารระดับสูงกระทรวงสาธารณสุข(สธ.)ว่า ที่ประชุม ยังได้ติดตามความคืบหน้าเรื่อง การขับเคลื่อนนโยบายเพิ่มรายรับ สร้างรายได้ ยกระดับบริการรองรับประกันสุขภาพเอกชน โดยประกันสุขภาพเอกชน มีเงินหมุนเวียนสูงกว่า 150,000 ล้านบาท
กระทรวงสาธารณสุข จึงมีไอเดียพัฒนาระบบบริการ เพื่อรองรับรายได้ใหม่จากประกันสุขภาพเอกชน ขณะนี้ได้วางเครือข่ายโรงพยาบาลนำร่อง จำนวน 35 แห่ง ในทุกเขตสุขภาพ ส่วนกฎระเบียบ ก็อยู่ระหว่างการหารือกับกรมบัญชีกลาง เพื่อให้สามารถรับ จ่ายเงินที่เกิดจากบริการในเวลาราชการได้

เรื่องการดูแลสุขภาพแรงงานต่างด้าว ซึ่งเป็นปัญหาซับซ้อน และเกี่ยวข้องกับ 3 กระทรวง ปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุข ขาดทุน ปีละ 4,000-5,000 ล้านบาท เพราะต้องดูแลแรงงานต่างด้าวที่ไม่ได้อยู่ในระบบประกันสุขภาพ

ขณะที่แรงงานต่างด้าว ที่ขึ้นทะเบียนจะทำประกันสุขภาพในราคาประมาณ 1,735 บาทต่อคนต่อปี แต่ต้นทุนจริงในการดูแลอยู่ที่เกือบ 4,000 บาทต่อหัวต่อปี อ้างอิงตัวเลขใกล้เคียงกับสิทธิ 30 บาทที่รักษาพยาบาลคนไทย ส่วนต่างนี้คือ ภาระที่ สธ.ต้องแบกรับ จึงขาดทุน 4,000-5,000 ล้านบาท


นำร่อง 'รพ.สธ. 35 แห่ง' รองรับ 'ประกันสุขภาพเอกชน' ขุมเงิน 1.5 แสนล้าน

ส่วนแนวทางการแก้ปัญหาผู้หนีภัยจากการสู้รบจากประเทศเพื่อนบ้าน ในพื้นที่พักพิงชั่วคราว  จากเมียนมาประมาณ 200,000 คนตามแนวชายแดนที่ จ.แม่ฮ่องสอน ตาก และกาญจนบุรี เดิมมีองค์กร IRC ดูแล  แต่เมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่ง ส่งผลให้องค์กรIRC ติดปัญหาเรื่องสภาพคล่อง ทำให้ประเทศไทยต้องรับภาระ

จึงได้เตรียมการโดยของบกลาง ประมาณ 160 ล้านบาท และในปีต่อไปหวังว่า สภาความมั่นคงแห่งชาติ จะเข้ามาจัดระเบียบของแรงงานต่างด้าว เช่น ทำให้ขึ้นทะเบียน หรือว่าไม่ขึ้นทะเบียนก็จะต้องดำเนินเรื่องการสแกนม่านตาเพื่อยืนยันตัวตน ซึ่ง สธ.ก็จะลงนามความร่วมมือกับสภากาชาดไทยในการดำเนินการเรื่องนี้ เพื่อเชื่อมโยงกับกลไกการเฝ้าระวัง ป้องกันควบคุมโรค

สำหรับความคืบหน้าของโครงการ "อสม. ชวนคนไทยนับคาร์บ" จากคนไทยที่เข้าร่วมโครงการทั้งหมด 42 ล้านคน ได้เก็บข้อมูลเชิงลึกจาก 6.5 ล้านคน พบว่าสามารถลดน้ำหนักรวมกันได้ถึง 9.6 ล้านกิโลกรัม ซึ่งตัวเลขนี้มีมูลค่าทางเศรษฐกิจถึง 9,600 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มผู้ป่วยที่เข้าโครงการโดยตรงอีกประมาณ 300,000 คน ที่สามารถลดค่าใช้จ่ายด้านยาได้ถึง 838 ล้านบาท

"ถ้าหากสามารถนำข้อมูลของทั้ง 42 ล้านคน มาประมวลผลได้ทั้งหมดเทียบบัญญัติไตรยางก็จะเพิ่มขึ้นราว 7 เท่า ก็คาดว่ามูลค่าทางเศรษฐกิจจากการลดน้ำหนักของประชาชนได้จากการนับคาร์บ 50,000-60,000 ล้านบาท"นายสมศักดิ์ กล่าว  
 

 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์