รุมค้าน! รับรองแพทย์อบรม 3 เดือน ให้บริการ ‘ศัลยกรรมเสริมความงาม’

รุมค้าน! รับรองแพทย์อบรม 3 เดือน ให้บริการ ‘ศัลยกรรมเสริมความงาม’

แฉ 8 เรื่องร้องเรียน “เสริมความงาม”  สภาผู้บริโภค-แพทย์ค้านหลักสูตรแพทยสภา อบรม 3 เดือนให้ใบรับรองแพทย์เสริมความงาม หวั่นอันตรายผู้ใช้บริการ-สั่นคลอนความน่าเชื่อถือแพทย์ไทยทั้งระบบ กระทบเมดิคัลฮับ

KEY

POINTS

  • หลายองค์กรทางการแพทย์รวมตัวคัดค้านข้อเสนอของแพทยสภา ที่จะรับรองแพทย์ทั่วไปที่ผ่านการอบรมหลักสูตรระยะสั้น 3 เดือน ให้สามารถทำศัลยกรรมเสริมความงามได้
  • ฝ่ายผู้คัดค้านให้เหตุผลว่าการอบรมเพียง 3 เดือน ไม่ได้มาตรฐานสากล ไม่เพียงพอที่จะสร้างความชำนาญ และรับมือกับภาวะแทรกซ้อนได้ ซึ่งเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค
  • มีความกังวลว่าหลักสูตรดังกล่าวจะทำลายระบบการฝึกอบรมแพทย์เฉพาะทางที่เข้มแข็งของไทย และส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในระบบสาธารณสุขโดยรวม รวมถึงชื่อเสียงของไทยในฐานะเมดิคัลฮับ

คลินิกเสริมความงามในประเทศไทยเติบโตอย่างรวดเร็ว จำนวนคลินิกเพิ่มมากขึ้น ทำให้คนมีโอกาสในการเข้าถึงบริการแม้แต่ในห้างสรรพสินค้า  แต่ด้วยข้อจำกัดเรื่องแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางในสาขาที่เกี่ยวข้อง บวกกับ กฎหมายปัจจุบันไม่ได้กำหนดให้แพทย์ที่ทำหัตถการในคลินิกเสริมความงามต้องเป็นแพทย์ที่จบเฉพาะทางในสาขาที่แพทยสภารับรอง

ทำให้แพทย์จบใหม่ที่เพิ่งได้รับปริญญาแพทยศาสตร์บัณฑิต ก็สามารถมาให้บริการทำหัตถการในคลินิกเสริมความงามได้  ส่งผลให้เกิดการตั้งคำถามถึงเรื่อง “มาตรฐานและคุณภาพในการให้บริการ” นั้นจะสวนทางกับปริมาณคลินิกที่เพิ่มขึ้นหรือไม่   

เสริมความงามถูกร้องกว่า 1,000 เรื่อง

เมื่อวันที่ 13 ส.ค.2568 ที่สภาองค์กรของผู้บริโภค มีการเสวนา เรื่อง “ความปลอดภัยของผู้บริโภคต่อศัลยกรรมเสริมความงาม” โดย น.ส.สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค กล่าวว่า ปัญหาร้องเรียน ประเด็นเสริมความงามที่สภาฯ ได้รับตั้งแต่เดือนม.ค.2565 - ส.ค.2568 รวม 1,188 เรื่อง แยกเป็น 8 ลักษณะ ได้แก่

  • โฆษณาที่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิด 48 เรื่อง
  •  โฆษณาเป็นเท็จหรือเกินความจริง 40 เรื่อง
  • บริการไม่ได้มาตรฐาน 35 เรื่อง
  • ราคาแพงเกินจริง 24 เรื่อง
  • ถูกหลอกให้ซื้อสินค้า/บริการ 31 เรื่อง
  • ไม่ระบุข้อมูลจำเป็น เช่น ราคา คำเตือน วันหมดอายุ
  • ใช้ข้อความที่ไม่ตรงต่อความจริง อาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิด 4 เรื่อง
  • และคลินิกปิดกิจการไม่แจ้ง 999 เรื่อง  

ปัจจุบันการเข้าถึงบริการเสริมความงามของผู้บริโภคมีมากมาย  และมีโอกาสผู้บริโภคได้รับความไม่ปลอดภัย มีการตั้งคำถามทั้งคุณภาพมาตรฐานการรักษา และความเชี่ยวชาญ จะเป็นประเด็นกับผู้บริโภคมากขึ้น 

"ต้องทำให้เรื่องบริการเสริมความงามมีมาตรฐาน และคุณภาพ ซึ่งแพทยสภาควรยึดมาตรฐานสูงสุด หรือมาตรฐานควรพึงมีในการทำกิจการที่เกี่ยวข้องกับการเสริมความงามหรือการทำวิชาชีพเกี่ยวกับความงามให้เป็นบรรทัดฐาน”สารี กล่าว  

คลินิกเสริมความงามใช้แพทย์จบใหม่  

พล.ต.ท.นพ.อรรถพันธ์ พรมณฑารัตน์ แพทย์ผู้ชำนาญการศัลยศาสตร์ตกแต่ง และเสริมสร้างใบหน้า  กล่าวว่า เมื่อผู้บริโภคต้องการความรู้ ความสามารถของแพทย์ในเรื่องเสริมความงามต้องได้มาตรฐาน ซึ่งหลักสูตรแพทยศาสตร์บัณฑิตที่เรียน 6 ปี ไม่มีวิชาศัลยกรรมเสริมสวยทั้งภาคทฤษฎี ภาคปฏิบัติ
รวมถึง หัตถการต่างๆ หรือการลงมีดผ่าตัด หรืออวัยวะคนไข้ เช่น ทำตา 2 ชั้น เสริมจมูก เพราะฉะนั้น แพทยศาสตร์บัณฑิตที่เพิ่งจบมานั้น ไม่มีความรู้ ความสามารถในการทำศัลยกรรมเสริมสวย แต่มีมาให้บริการทำเรื่องนี้ในคลินิกเสริมความงามจำนวนมาก

“แต่แพทย์ที่จบเพียงแพทยศาสตร์บัณฑิตไม่ได้จบเฉพาะทาง ไม่ได้มีสิทธิกระทำการศัลยกรรมเสริมสวยโดยเป็นสิทธิโดยสมบูรณ์ หมายความแพทย์ที่ทำศัลยกรรมเสริมสวยตามคลินิกในศูนย์การค้า เมื่อเดินเข้าไปใน รพ.รัฐหรือเอกชนที่ได้รับการรับรองคุณภาพมาตรฐานนั้น จะไม่ยินยอมให้คนที่มีวุฒิเพียงแพทยศาสตร์บัณฑิตมาทำศัลยกรรมเสริมสวยใน รพ.อย่างแน่นอน” พล.ต.ท.นพ.อรรถพันธ์ กล่าว

ค้านหลักสูตรอบรมแพทย์แค่ 3 เดือน

อย่างไรก็ตาม แพทยสภา ได้ออกประกาศห้ามโฆษณาเป็นผู้ชำนาญการหากไม่ได้มีวุฒิเฉพาะทางใน 94 สาขาที่แพทยสภารับรอง ทำให้คลินิกเสริมความงามไปร้องขอแพทยสภาเพื่อให้ได้รับวุฒิที่เป็นการเพิ่มพูนสิ่งที่ทำอยู่ในคลินิก  ซึ่งเมื่อปี 2565 แพทยสภาดำเนินการทำหลักสูตร 3 เดือนให้กับแพทย์ทั่วไป เมื่อจบก็ให้ประกาศนียบัตรรับรองคุณวุฒิ คุณภาพ แต่ถูกคัดค้านจนยุติไป

กระทั่งเมื่อวันที่ 29 ก.ค.2568 มีนำเสนอหลักสูตรให้แพทย์ทั่วไปจบแล้ว 2 ปี เข้าฝึกอบรมระยะสั้น 3 เดือนแล้ว แพทยสภาจะออกประกาศนียบัตรรับรองให้ ซึ่งในราชวิทยาลัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเห็นว่าหลักสูตรดังกล่าวไม่ได้มาตรฐานสากล จึงรวมตัวกันคัดค้านอีกครั้ง

“ถ้าหลักสูตร 3 เดือนนี้ออกมา จะกระทบต่อมาตรฐานของการเรียนในระบบแพทย์เฉพาะทางที่แพทยสภาดำเนินการมา และเกิดสมองไหลของแพทย์จบใหม่ จะเลือกไปทำคลินิกเสริมความงามมากขึ้น อนาคตก็จะไม่มีแพทย์เพื่อรักษาโรค”พล.ต.ท.นพ.อรรถพันธ์ กล่าว   

เสี่ยงแก้ภาวะแทรกซ้อนไม่เป็น

ขณะที่ นพ.ธีระวัฒน์ ศรีนัครินทร์ นายกสมาคมศัลยกรรมตกแต่ง และเสริมสร้างใบหน้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า  ภาวะแทรกซ้อนจากการทำศัลยกรรมเสริมสวย เกิดขึ้นได้ทั้งแบบทันทีหลังผ่าตัดใหม่ๆ  ระยะกลางหลังทำหลายเดือน -1  ปี และระยะยาว  มากกว่า 1 ปีหรือหลายปี เพราะมีปัจจัยหลายอย่างมากที่ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน และอันตรายในคนไข้  

ดังนั้น แพทย์ที่จะทำเสริมความงาม จะต้องไม่ใช่แค่รู้ว่าเสริมจมูกอย่างไร แต่ต้องสามารถแก้ไขภาวะแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้นได้และแก้เป็น  เช่น กรณีเกิดการติดเชื้อ การทะลุ การเสียโฉม  เป็นต้น 

ทั้งนี้ การอบรมระยะเวลาเพียง 3 เดือนจะสร้างความรู้ ความสามารถเป็นไปได้ยาก รวมถึง การมีทักษะในการผ่าตัด แพทย์ที่ไม่ได้ผ่านประสบการณ์จะมีโอกาสเกิดความเสี่ยงสูงมาก และการให้อบรมเพียง 3 เดือนแล้วไปทำศัลยกรรมความงามได้ ถือเป็นทัศนคติที่อยู่บนความประมาท จึงขอให้ทบทวนอย่างหนักก่อนที่จะตัดสินใจให้มีหลักสูตรนี้

กระทบความเชื่อมั่นแพทย์ทั้งระบบ

ด้าน ศ.นพ.อภิชัย อังสพัทธ์ นายกสมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งแห่งประเทศไทย กล่าวว่า แน่นอนแพทย์เฉพาะทาง มีประสบการณ์มากก็สามารถทำผิดพลาดได้  แต่สิ่งสำคัญต้องรู้แนวทางดำเนินการแก้ไขในสิ่งที่เกิดขึ้น 

หากปล่อยให้แพทย์ทั่วไปมาทำเรื่องศัลยกรรมความงาม ก็จะเพิ่มโอกาสในการเกิดความผิดพลาด  โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำหลักสูตรระยะสั้น ซึ่งแนวคิดนี้ทั่วโลกปฏิเสธ 100 %  เพราะอันตรายต่อผู้บริโภค ซึ่งสิ่งที่ต้องดำเนินการ คือ เพิ่มความเข้มงวดต่อแพทย์มากขึ้น เพื่อให้ทุกอย่างปลอดภัยมากขึ้น

ศ.นพ.อภิชัย กล่าวอีกว่า  ศัลยกรรมความงาม ศัลยกรรมตกแต่ง เป็นเรื่องล่อแหลม ซึ่งประเทศไทยเป็นเมดิคัล และเวลเนสฮับ การที่ต่างชาติเดินทางมารับบริการนี้ในไทย เพราะดูลักษณะการฝึกอบรมแพทย์เฉพาะทางที่ผ่านมาของไทยมีมาตรฐานสูง คุณภาพแพทย์ต่างกันไม่มากกับประเทศของเขา แต่ไทยมีค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่า จึงเดินทางมาไทย 

“ถ้าไทยทำลายระบบของไทยที่เข้มแข็งอยู่แล้วในการฝึกอบรมแพทย์เฉพาะทาง ด้วยการปล่อยให้มีการอบรมระยะสั้น ในอนาคตแนวโน้มจะไม่กระทบแค่ความเชื่อมั่นต่อบริการเสริมความงาม แต่จะส่งผลถึงความเชื่อมั่นในทุกสาขาความเชี่ยวชาญเฉพาะทางของแพทย์ไทยด้วย” ศ.นพ.อภิชัย กล่าว 

 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์