พลิกโฉมดูแลรักษา 'เบาหวาน' แบบมุ่งเป้ารายบุคคล โรคสงบ-สกัดป่วย

โรคเบาหวานชนิดที่ 2 คือโรคเรื้อรังที่เกิดจากภาวะดื้ออินซูลิน และผลิตอินซูลินไม่เพียงพอ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติอย่างต่อเนื่อง
KEY
POINTS
- นำเสนอแนวทางการดูแลรักษาเบาหวานแบบใหม่ ที่มุ่งเน้นการดูแลแบบเฉพาะบุคคลและแม่นยำ (Personalized & Precision Primary Health Care)
- มีเป้าหมายเพื่อป้องกันการเกิดผู้ป่วยเบาหวานรายใหม่ และสนับสนุนให้ผู้ป่วยเดิมเข้าสู่ภาวะเบาหวานสงบ (DM Remission)
- ใช้วิธีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะการควบคุมอาหาร (โภชนบำบัด) และการออกกำลังกายที่ออกแบบมาเพื่อแต่ละบุคคล
- มีการดำเนินโครงการนำร่องที่ อ.โพนสวรรค์ จ.นครพนม โดยสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยบริการสุขภาพ ชุมชน และผู้ป่วยในการวางแผนและติดตามผลการรักษา
โรคเบาหวานชนิดที่ 2 คือโรคเรื้อรังที่เกิดจากภาวะดื้ออินซูลิน และผลิตอินซูลินไม่เพียงพอ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติอย่างต่อเนื่อง ปัจจัยเสี่ยงสำคัญอย่างยิ่งประการหนึ่งคือ ความอ้วน ปัจจุบันความชุกโรคเบาหวานในไทยสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ข้อมูลการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกายในปี 2540 พบความชุกจาก 4.8 % เพิ่มขึ้นเป็น 9.5% ในปี 2563 หากใช้การวินิจฉัยโดยระดับน้ำตาลช่วงอดอาหารเป็นเกณฑ์การวินิจฉัย
แต่หากวัดระดับน้ำตาลเฉลี่ยในเลือดย้อนหลัง 2–3 เดือนเป็นเกณฑ์การวินิจฉัยร่วมด้วย จะพบว่า ความชุกของผู้เป็นเบาหวานสูงถึง 11% ในจำนวนนี้มีผู้ที่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้ตามเป้าหมายเพียง 26.3% จึงเป็นสาเหตุให้เกิดภาวะแทรกซ้อน ได้แก่ เบาหวานจอตา ตาบอด ไตวาย เท้าเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด
ชุมชนรังสรรค์นวัตกรรมเบาหวานสงบ
ความโดดเด่น คือ การนำต้นแบบจากพื้นที่อื่นมาหลอมรวมกระบวนการต่างๆ บวกกับวิชาการที่เข้มข้น และปรับปรุงให้เข้าถึงวิถีชีวิตของชุมชน โดยให้นักวิชากร ผู้เชี่ยวชาญ แพทย์ พยาบาลเข้าถึงชาวบ้าน ปรับปรุงวิถีชีวิต การกินให้เข้ากับพื้นที่ได้ ถือเป็นจุดแข็งที่สำคัญ จึงจำเป็นต้องมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ดูงานและขยายผล ไม่เฉพาะในพื้นที่จ.นครพนมเท่านั้น รวมถึงจังหวัดอื่นๆด้วย เป็นโมเดลต้นแบบ
อนาคตช่วยลดค่าใช้จ่ายประเทศ
จำเป็นต้องมีการปรับบริการให้เป็นเชิงรุก เพราะบริการเชิงรับเป็นการใช้การแพทย์แผนตะวันตก แต่ถ้าปรับวิถีชีวิตให้เข้ากับชุมชนและสามารถที่จะใช้ผัก สมุนไพร อาหารในชุมชนมาปรับเปลี่ยนวิธีคิดได้ ก็จะเป็นการแพทย์เชิงรุก ฮุกกลับระบบสุขภาพ ทำให้คนไม่ต้องเป็นโรค ไม่ต้องเข้ามาสู่สายพานลำเลียงในการรักษาพยาบาล มารับยา กินยา และป่วยล้างไต ซึ่งเป็นบริการเชิงรับ ส่วนบริการเชิงรุก คือ สุขภาพดีเป็นเรื่องของเวลเนส สุขภาวะที่ดี วิถีชีวิต แค่เพียงเปลี่ยนหลักคิด วิธีคิด ,เปลี่ยนพฤติกรรมและนำสู่เปลี่ยนวิถีชีวิตได้ ก็มีสุขภาพดี
“หากปรับเปลี่ยนวิธีคิดและพฤติกรรม ในที่สุดแล้วระยะยาว 5-10 ปี ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ ค่ารักษาพยาบาลก็จะลดลงได้ และใช้งบฯในการดูแลคนป่วยที่จำเป็นต้องป่วยจริงๆ ส่วนคนป่วยที่ไม่จำเป็นต้องป่วย หากควบคุมพฤติกรรมได้ โรคก็สงบได้ หายได้”นพ.พงษ์เทพกล่าว
รักษาเบาหวานแบบมุ่งเป้ารายบุคคล
ขณะที่ นพ.วิพุธ พูลเจริญ เลขาธิการมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนานโยบาย ผู้รับผิดชอบโครงการสาธารณสุขมูลฐานเขตเมือง แนวรุกสู่การป้องกันและสงบเบาหวาน กล่าวว่า โครงการสาธารณสุขมูลฐานเขตเมือง แนวรุกสู่การป้องกันและสงบเบาหวาน เป็นการขยายผลจากโครงทดลองระบบบริการสุขภาพสร้างเสริมในเขตเมืองช่วงโควิด-19
โดยมีเป้าหมายป้องกันการเกิดผู้ป่วยเบาหวานรายใหม่ และสนับสนุนให้ผู้ป่วยเข้าสู่ภาวะเบาหวานสงบ (DM Remission) ผ่านแนวทาง “การดูแลสุขภาพเบื้องต้นแบบเฉพาะบุคคลและแม่นยำ(Personalized & Precision Primary Health Care)” ที่เน้นการสร้างระบบร่วมจัดการระหว่างหน่วยบริการสุขภาพและสาธารณสุขมูลฐานชุมชน
ด้วยกลไก 6 ระบบ ได้แก่ ระบบข้อมูล ระบบบริการกำลังคน ระบบทรัพยากร ระบบเทคโนโลยี ระบบบริหารจัดการ ระบบสร้างความรอบรู้ ผลลัพธ์ที่สำคัญ คือ การสร้างพื้นที่บริการร่วม ที่ช่วยให้เกิดการเรียนรู้ด้านสุขภาพ การปรับพฤติกรรม และการติดตามเฉพาะบุคคล นำร่องที่อ.โพนสวรรค์ จ.นครพนม มีเป้าหมายขยายเป็นระบบบริการประจำในปี 2568 พร้อมเชื่อมโยงกับองค์การบริหารส่วนจังหวัด ผสานเทคโนโลยีและภาคีเครือข่ายเพื่อควบคุมโรคเบาหวานอย่างตรงจุด
ทั้งนี้ การดูแลรักษาเบาหวาน รูปแบบเดิม เป็นบริการทางการแพทย์ในบริการผู้ป่วยนอก มุ่งรักษาเฉพาะโรคเบาหวานหรือภาวะแทรกซ้อนในคลินิกบริการตามเวลาที่กำหนดไว้เชิงตั้งรับ มีเป้าหมายการรักษามุ่งลดระดับน้ำตาลสะสมในเลือด
ส่วนรูปแบบใหม่ แบบมุ่งเป้า ในระดับชุมชนมุ่งปรับบทบาทของชุมชนและท้องถิ่นสู่การสร้างเสริมสุขภาพ ผ่านวิธีสร้างความรอบรู้เฉพาะบุคคล เป็นการมุ่งสร้างเสริมสุขภาพ เพื่อป้องกันและสงบเบาหวาน ด้วยแนวทางเวชปฏิบัติมุ่งเป้าเฉพาะบุคคล ใช้วิธีการปรับพฤติกรรม ควบคุมอาหารและออกกำลังกายอย่างเข้มงวดในแต่ละบุคคลที่มีภาวะร่างกายและบริบททางสังคมต่างกัน
6 ฐานควบคุมและสงบเบาหวาน
ผศ.ดร.เบญจยามาศ พิลายนต์ ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายประกันคุณภาพการศึกษา วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี มหาวิทยาลัยนครพนม กล่าวว่า การดำเนินงานนำร่องพื้นที่ อ.โพนสวรรค์เป็นจุดนำร่อง ซึ่งมีพฤติกรรม เช่น การบริโภคอาหารสำเร็จรูปและการเคลื่อนไหวน้อย เป็นปัจจัยเสี่ยงที่กระตุ้นให้เกิดโรคเบาหวาน โดยปี 2567 พบผู้ป่วยเบาหวาน 731 คน เพิ่มขึ้นจาก 654 คนในปี 2565 และ 59.9% ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้ ขณะที่ 476 คนอยู่ในกลุ่มเสี่ยง
กระบวนการเริ่มจากรพ.โพนสวรรค์ ได้ริเริ่มคลินิก ‘DM Remission’ โดยนำโภชนบำบัดแบบ Low Carb มาใช้ พร้อมจัดโปรแกรมดูแลร่วม 8 สัปดาห์ มีกลุ่มเป้าหมาย 100 คน แบ่งออกเป็น 5 กลุ่ม คือ
- กลุ่มที่1 ต้องให้เฝ้าระวังตัวเอง ไม่มีอาการ ประวัติพันธุกรรมหรือการติดเชื้อ
- กลุ่มที่2 และ 3 ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่ม อยู่ในภาวะก่อนเบหวาน ต้องจัดบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคอย่างต่อเนื่อง
- กลุ่มที่ 4 ระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ในภาวะเบาหวานที่ต้องให้การรักษา และ 5 เบาหวานที่มีโรคแทรกซ้อนที่ต้องฟื้นฟู เป็นกลุ่มที่ต้องสงบเบาหวานและป้องกันภาวะแทรกซ้อน
จากนั้นให้กลุ่มตัวอย่างเข้าร่วม 6 ฐานการเรียนรู้ ในการควบคุมและสงบเบาหวาน ได้แก่ ฐานที่ 1 ไผเป็นไผ ให้รู้จักสุขภาพของตนเอง ด้วยการประเมินความเสี่ยงเบาหวานผ่านดิจิทัลและวัดองค์ประกอบร่างกาย
ฐานที่ 2 แฮงฮึด เป้าหมายฮู้โต สะท้อนข้อมูลสุขภาพและร่วมวางเป้าหมายดูแลตนเองกับทีมผู้ให้บริการ
ฐานที่ 3 ฉากทัศน์สาธารณสุขมูลฐานยุคดิจิทัล มองอนาคตที่ชุมชนดูแลสุขภาพตนเองได้ด้วยข้อมูลดิจิทัลและความรู้จากสหวิชาชีพ
ฐานที่ 4 วางเมนูม่วนกับหมอข้าวและกับข้าวบ้านเฮา การวางแผนอาหารที่เหมาะสมกับตัวเอง ร่วมกับนักโภชนาการและรู้จักอาหารสุขภาพพื้นบ้านจากชุมชนที่ดีต่อใจและดีต่อโรค
ฐานที่ 5 ขยับไปฮอดเป้า แผนการเคลื่อนไหวสร้างกล้ามเนื้อที่เหมาะกับตนเอง ร่วมกับนักวิชาชีพด้านการกีฬาและกายภาพ
และฐานที่ 6 ย้อนเบิ่ง ย้อนฮู้โต ทบทวนผลลัพธ์และติดตามการเปลี่ยนแปลงสุขภาพของตนเอง
ตัวอย่างแผนมุ่งเป้ารายบุคคล
ตัวอย่างการดูแลรักษาเบาหวานแบบมุ่งเป้ารายบุคคล เพศชาย ผลการวิเคราะห์ร่างกาย อายุ 50 ปี อายุร่างกาย 56 ปี เป็นเบาหวาน และเป็นโรคความดันโลหิตสูง รอบเอว 94 เซนติเมตร ไขมัน 29 % ไขมันช่องท้อง 8.5 ไตรกลีเซอไรด์ 220 BMI 30 กล้ามเนื้อ 28.9 %
มีการวิเคราะห์และวางแผนวิธีปรับพฤติกรรมของผู้ป่วยรายนี้ โดยกำหนดเป้าหมาย 3 เดือน คือ ลดน้ำตาลในเลือด ลดไตรกลีเซอไรด์ไม่เกิน 150 ติดตามค่าความดันโลหิต ลดน้ำหนักตัวเดือนละ 1-2 กิโลกรัม ด้วยการกำหนดอาหาร Low carb โปรตีน 40 % คาร์บ 20 % ไขมัน 40 % ร่วมกับการเพิ่มกล้ามเนื้อโดยออกกำลังกายแบบแอโรบิคหรือคาร์ดิโอ สัปดาห์ละ 150-300 นาที เพื่อเผาผลาญพลังงาน







