เปิดเกมรุก 'เศรษฐกิจสุขภาพ' เครื่องยนต์ใหม่ ไม่ดับ ไม่ดิ่ง

เศรษฐกิจสุขภาพ คาดบริการเฮลท์แคร์ยังโต อัตราไม่เกิน 5 % แม้อาหรับชะลอลง ส่วนอุตฯสุขภาพและความงาม ยางกลุ่มไต่เชิดขึ้น
KEY
POINTS
- คาดบริการเฮลท์แคร์ยังโต อัตราไม่เกิน 5 % แม้อาหรับชะลอลง แต่มีตลาดต่างชาติใหม่เสริม-“เอ็กซ์แพ็ท”เชื่อมั่นมากขึ้น ครึ่งปีหลังมีปัจจัยบวกหนุน
- อุตสาหกรรมสุขภาพและความงาม มูลค่ารวม 1.5 ล้านล้าน อยู่ได้ - ไม่ดิ่ง มองเป็นเครื่องยนต์ใหม่
“สุขภาพ” กำลังถูกนำมาใช้เป็น “เกมบุก”ทางเศรษฐกิจ พลิกจากตั้งรับ ประเทศมีแต่รายจ่ายมาสู่การสร้างรายได้ด้วย“เศรษฐกิจสุขภาพ” ซึ่งแม้ครึ่งปีแรก 2568 จะรุมล้อมด้วยปัจจัยลบต่อเศรษฐกิจ ในส่วนภาคบริการ “เฮลท์แคร์” โดยเฉพาะเมดิคัลและเวลเนส ( Medical&Wellness) คาดว่ายังมีอัตราเติบโตแต่ไม่มาก และภาคผลิต “อุตสาหกรรมสุขภาพและความงาม” ยอดยังถือว่าดี ไต่ปรับเชิดหัวขึ้นได้ระดับหนึ่งในบางกลุ่ม
จากข้อมูลของ Report Linker คาดการณ์ว่าอุตสาหกรรมสุขภาพไทย ปี 2568 มีมูลค่า 679,600 ล้านบาท จะเติบโต 5.3% ต่อปี สู่มูลค่ากว่า 880,500 ล้านบาทภายในปี 2573สอดคล้องกับที่กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) ประเมินมูลค่าขั้นต่ำในปี 2568 อยู่ที่ 690,000 ล้านบาท หรือ 3.39 % ของ GDP ขณะที่คลัสเตอร์อุตสาหกรรมสุขภาพและความงาม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ระบุมูลค่ารวมราว 1.5 ล้านล้านบาท
กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ(สบส.) สะท้อนตัวเลขการสร้างมูลค่าแล้วจาก 3 บริการสุขภาพและความงามเป้าหมายผลักดันของภาครัฐ ในช่วงครึ่งปีแรกรวม 16,998.21 ล้านบาท แยกเป็น 1.ด้านเวชศาสตร์ความงาม 15,120 ล้านบาท 2.การอุ้มบุญและเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ 1,637 ล้านบาท และ 3.ผ่าตัดยืนยันเพศสภาพ 241.2 ล้านบาท
แอ็กซ์แพ็ทเชื่อมั่นมากขึ้น
นพ.พงษ์พัฒน์ ปธานวนิช อดีตนายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน ให้สัมภาษณ์ “กรุงเทพธุรกิจ”ว่า ตลาดรพ.เอกชน แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ 1.จ่ายเงินสด 2.กองทุนประกันสุขภาพภาครัฐ และ3.ต่างชาติ แบ่งเป็น บินเข้ามารับบริการ(Fly In) หลักๆจะเป็นตะวันออกกลาง CLMV ยุโรป และผู้ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย หรือ เอ็กซ์แพ็ท(Expats )เช่น จีน ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา ยุโรป เป็นต้น
จากปัญหากำลังซื้อในประเทศ ส่วนของกลุ่ม 1 คงไม่ได้รับผลกระทบมากนัก ผู้ที่มีรายได้สูง เมื่อเจ็บป่วยยังเลือกใช้รพ.เอกชน เพียงแต่อาจจะไปรพ.ขนาดเล็กลงกว่าเดิม ขณะที่กลุ่มเอ็กซ์แพ็ท จำนวนคนเข้ามาทำงาน คนมาอาศัยเพิ่มขึ้น บวกกับความเชื่อมั่นรพ.เอกชนในไทยมากขึ้น จากเดิมเมื่อป่วยจะกลับไปรักษาที่ประเทศตัวเอง จึงส่งผลต่อรายได้เอกชนในส่วนนี้เพิ่มขึ้น
ตลาดต่างชาติใหม่เพิ่ม
กลุ่มต่างชาติที่บินเข้ามารับบริการ กลุ่ม CLMV ผู้ที่มีรายได้สูง แม้โรคทั่วไป เช่น คลอดบุตร เลสิก ยังเข้ามา ส่วนโรคยากซับซ้อน ผู้ที่มีรายได้ปานกลางก็เข้ามารับบริการในไทยเช่นเดียวกัน สถานการณ์ความขัดแย้งอาจจะมีอยู่ชั่วคราวสั้นๆ ดังนั้น การรักษาระดับสูง ผู้ป่วยยังคงเข้ามารับบริการ ด้วยความเชื่อมั่นต่อระบบบริการ
แม้มีการชะลอตัวในกลุ่มตะวันออกกลาง จากปัญหาของภูมิภาคทั้งราคาน้ำมันลดลงและการสู้รบ แต่มีตลาดต่างชาติใหม่ๆเข้ามาเพิ่ม เป็นผลจากรัฐบาลที่ผ่านมา มอบให้ท่านทูตในประเทศที่ยังมีระบบเฮลท์แคร์ไม่พัฒนาเท่าไทย ไปทำตลาดกลุ่มที่มีรายได้สูงให้เข้ามารับ อย่างเช่น มัลดีฟส์ บังคลาเทศ ปากีสถาน และแอฟริกาใต้หลายประเทศ เป็นต้น
ยังโตแต่อัตราไม่เกิน 5 %
รพ.เอกชนที่มีการรับผู้ป่วยต่างชาติด้วย ปีนี้อัตราเติบโตไม่เกิน 5 % ส่วนกลุ่มคนไทยแล้วแต่รพ. ซึ่งสวัสดิการภาครัฐที่มีงบประมาณจำกัด จะส่งผลให้คนเข้ามารับบริการภาคเอกชนมากขึ้น เพราะเฮลท์แคร์เป็นเรื่องที่รอไม่ได้ ยอมจ่ายเงินและรักษาเอง จะทำให้เอกชนโตขึ้นเล็กน้อย
“โดยรวมเชื่อว่าจะยังโต เพียงแต่อัตราอาจจะไม่มาก น่าจะอยู่ราว 2-5 % ขณะที่เป้า GDP ประเทศโต 2 % ธุรกิจก็โตได้จำกัด” นพ.พงษ์พัฒน์กล่าว
และในช่วงครึ่งปีหลังนั้น ธุรกิจเฮลท์แคร์จะดีกว่าครึ่งปีแรกอยู่แล้ว เนื่องจากปัจจัยเรื่องภูมิอากาศ ในไทยเป็นช่วงฤดูฝน ทำให้คนป่วยมากขึ้น รวมถึง มีการเดินทาง เพียงแต่ต้องติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งพื้นที่ต่างๆ จะส่งผลต่อการเข้ามารับบริการในไทยหรือไม่
อีอีซี Medical & Wellness Valley
เรื่องการขับเคลื่อนท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ บอร์ดเมดิคัลและเวลเนสฮับ ได้เห็นชอบ การพัฒนาพื้นที่มูลค่าสูง Medical & Wellness Valley ในพื้นที่อีอีซี(EEC) รวมถึง การจัดทำแพลตฟอร์มกลาง ด้านการตลาดและประชาสัมพันธ์ ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ , จับคู่โรงแรมและโรงพยาบาล จัดบริการแพ็กเกจสุขภาพ ,พัฒนาระบบเอเจนซี่ขายแพ็กเกจสุขภาพ และเพิ่มคลินิกเวลเนส , การแพทย์ แผนไทย ในโรงแรม คาดว่าจะเกิดผลประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อม มูลค่ากว่า 200,000 ล้านบาท
สุขภาพ New Growth Engine
สำหรับภาคผลิต “คลัสเตอร์อุตสาหกรรมสุขภาพและความงาม” ประกอบด้วย 7 กลุ่ม ยา เครื่องมือแพทย์ อาหาร ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร สมุนไพร เครื่องสำอางและเทคโนโลยีชีวภาพ ถือเป็น“อุตสาหกรรมแห่งอนาคต (Next - Gen Industries)” สามารถแข่งขันได้ ตามนโยบายส.อ.ท.
มูลค่าคลัสเตอร์อุตสาหกรรมนี้ราว 1.5 ล้านล้านบาท เป็นส่งออก 532,608 ล้านบาท นำเข้า 523,759 ล้านบาท นับเป็น 10 % ของ GDP ประเทศไทย มองเป้าอนาคตจะเป็น “New Growth Engine” เครื่องยนต์ใหม่ที่สำคัญตัวหนึ่งในการขับเคลื่อน GDP
บางกลุ่มอุตสาหกรรมไม่ตก ไม่ดิ่ง
นายนาคาญ์ ทวิชาวัฒน์ ประธานคลัสเตอร์อุตสาหกรรมสุขภาพและความงาม ส.อ.ท. ให้สัมภาษณ์ “กรุงเทพธุรกิจ”ว่า ตัวเลขดังกล่าวเป็นของปี 2566 ส่วนปี 2567 บวกลบไม่เกิน 5-10 % และปี 2568 คลัสเตอร์มีการวางเป้าที่จะเพิ่มยอด แต่ด้วยเศรษฐกิจชะลอตัว ยอดเหมือนจะพุ่งก็เลยไม่พุ่ง โดยเฉพาะในกลุ่มอาหาร ติดขัดการส่งออกไปสหรัฐอเมริกาพอสมควร
“บางกลุ่มที่ไม่ได้มีการส่งออกมากนัก ยอดยังถือว่าดี ในลักษณะการไต่ปรับเชิดหัวขึ้นได้ระดับหนึ่ง เช่น กลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เครื่องสำอาง ไม่ถือว่าตก และไม่ได้ขึ้นมาก ยังมั่นใจว่าจะอยู่ได้ ไม่ตก ไม่ดิ่ง”นายนาคาญ์กล่าว
ครึ่งปีหลังไร้ปัจจัยบวกเพิ่ม
ครึ่งปีหลังไม่น่าจะแตกต่างจากครึ่งปีแรก ไม่มีปัจจัยบวกเพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน เพราะฉะนั้น หากจะตั้งเป้าคงต้องเริ่มต้นใหม่ในปี 2569 อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์ต่างๆคลี่คลาย กลุ่มอุตสาหกรรมอาหารจะอัดฉีดได้มากขึ้น รวมถึง ต้องจับตาดูความเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภาษีจากการเจรจากับโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เพราะกลุ่มอาหารมีผลส่วนนี้อยู่มาก
ขณะที่สมุนไพร ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เทคโนโลยีชีวภาพ ยาแผนปัจจุบัน ส่วนใหญ่เป็นการผลิตใช้ในประเทศ ไม่ได้มีการส่งออกมาก ถือว่ากระทบน้อย กลุ่มเครื่องมือแพทย์ การส่งออกเป็นถุงมือยางและของทั่วๆไป เครื่องสำอางมีการส่งออกจำนวนมาก อย่างเช่น แชมพู เป็นอันดับต้นๆของโลก และเป็นฐานการผลิตในอาเซียน
เครื่องยนต์ใหม่ ที่น่าสนใจ
ทั้งนี้ เศรษฐกิจสุขภาพจะเป็นเครื่องยนต์ตัวใหม่แน่นอน เพราะต่างประเทศไม่สามารถดึงไปได้ ภาพลักษณ์การเป็นศูนย์กลางสุขภาพของไทยแข็งแรงมาก รวมถึง คุณภาพผลิตภัณฑ์และความเชื่อถือในรากเหง้า ภูมิปัญญาเดิม เป็นปัจจัยบวกที่สำคัญที่สุด
ส่งผลให้ต่างประเทศยังเดินทางเข้ามารับบริการเฮลท์แคร์ โดยเฉพาะการท่องเที่ยวที่เน้นด้านสุขภาพกายและใจ จะมองมาที่ประเทศไทย จึงเป็นจุดขายหลักสำคัญที่จะพัฒนาบุคลากร เพราะหุ่นยนต์หรือเอไอ ไม่สามารถทดแทนส่วนนี้ได้โดยตรง ส่วนภาคอุตสาหกรรมอาจจะเสียเปรียบเล็กน้อยในด้านเทคโนโลยี แต่ด้านการต่อยอดภูมิปัญญา ยังมีความน่าเชื่อถือ เช่น อาหาร สมุนไพร ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เป็นต้น
“มั่นใจว่าจะเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์หลัก อาจจะไม่ใช่เข้ามาทดแทนระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ หรือระดับใหญ่มาก แต่เป็นอุตสาหกรรมหนึ่งที่ยังคงแข็งแรง โอกาสที่จะร่วงโรยหรือจากไปน้อย จึงยังน่าสนใจ”นายนาคาญ์กล่าว







