Quick Win ถึงรัฐบาล เคลื่อน 'บริการเฮลท์แคร์-อุตฯสุขภาพ'

Quick Win ถึงรัฐบาล เคลื่อน 'บริการเฮลท์แคร์-อุตฯสุขภาพ'

ภาคเอกชนเฮลท์แคร์ แนะ Quick Win ถึงรัฐบาล เคลื่อนเศรษฐกิจสุขภาพ ดันอุตสาหกรรมสุขภาพและความงาม -บริการเมดิคัลและเวลเนส

นายนาคาญ์ ทวิชาวัฒน์ ประธานคลัสเตอร์อุตสาหกรรมสุขภาพและความงาม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ให้สัมภาษณ์ “กรุงเทพธุรกิจ”ว่า  Quick Win หรือนโยบายเร่งด่วนที่รัฐบาลควรช่วยดำเนินการเพื่อเคลื่อนเศรษฐกิจสุขภาพ แยกเป็น เรื่องยา  ควรมีการปรับปรุงเรื่องของสารออกฤทธิ์ทางเภสัชกรรม (API :Active Pharmaceutical Ingredient) ซึ่งปัจจุบันต้องนำเข้าจากต่างประเทศแล้วมาผสมตอกเม็ดยาในประเทศ ทำให้ไทยไม่สามารถมียาที่โดดเด่นหรือมีมูลค่าสูงไปขายในตลาดโลก

ดังนั้น ภาครัฐควรให้ความสำคัญในการผลิต API ซึ่งในอดีตเคยจะมีการดำเนินการ แต่เนื่องจากประเทศไทยไม่ได้ด้อยพัฒนามาก ทำให้โดนกีดกันทางเศรษฐกิจ ทำให้การผลิต API ไปตกอยู่ในประเทศที่มีประชากรจำนวนมาก ส่งผลให้ไทยเสียเปรียบมาจนถึงปัจจุบัน 

ผลักดันชิ้นส่วนยานยนต์ ผลิตเครื่องมือแพทย์

ขณะที่กลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เสริมอาหารและสมุนไพระจะมีความคล้ายกัน ตรงที่ใช้ API จากสมุนไพรหรือสารจากธรรมชาติต่างๆ หากจะสนับสนุนเรื่องการปลูก ก็จะได้วัตถุดิบในปริมาณที่มากขึ้น มีการโปรโมทมากขึ้น จะทำให้อุตสาหกรรมส่วนนี้แข็งแรงมากขึ้นโดยตรง 

กลุ่มเครื่องมือแพทย์ ยังไม่มีเทคโนโลยีที่ทันสมัยมากๆ อย่างไรก็ตาม ส.อ.ท.ได้พยายามปรับเปลี่ยนให้นำชิ้นส่วนจากโรงงานผลิตยานยนต์ ซึ่งมีมาตรฐานที่สูงมากเพราะเป็นรถยนต์ หากนำผลิตเครื่องมือแพทย์จะได้ในราคาที่ถูกและได้คุณภาพที่ดี เป็นอีกส่วนที่ส.อ.ท.ทำและอยากให้ภาครัฐสนับสนุนเรื่องนี้ เพื่อให้เครื่องมือแพทย์เป็นอีกส่วนหนึ่ง ที่จะทำให้ไทยติดอันดับท็อปของโลก และช่วยเป็นหนึ่งในผู้นำเชิงธุรกิจสุขภาพและความงาม

ช่วยปัจจัยประกอบ สกัดย้ายฐานผลิต

ส่วนเครื่องสำอางเช่นเดียวกัน แต่จะต้องเพิ่มเติมเรื่องการช่วยปัจจัยประกอบ ยกตัวอย่างเช่น ตอนนี้มีการขึ้นภาษีหัวน้ำหอม ทำให้โรงงานใหญ่ๆต้องการที่จะย้ายฐานการผลิตจากไทยไปอยู่ประเทศอื่นที่ช่วยเหลือได้ดีกว่าในไทย เป็นต้น 

“เรื่องค่าแรง ค่าไฟ โครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญมากๆในการดึงดูดให้ต่างประเทศมาลงทุนและใช้ไทยเป็นฐานผลิตในเรื่องของอุตสาหกรรมสุขภาพและความงาม รวมถึง การดึงงานวิจัยและเทคโนโลยีจากมหาวิทยาลัยต่างๆเข้ามาช่วย ให้สามารถนำภูมิปัญญาต่างๆมาต่อยอดและโตได้ เช่น ปัจจุบันให้นาโนเทค ช่วยทำสารสกัดระดับนาโน เอามาใช้ในเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ก็ช่วยได้มาก”นายนาคาญ์กล่าว 

เจาะกลุ่มยุโรปเข้ามารับบริการในไทย

ขณะที่ นพ.พงษ์พัฒน์ ปธานวนิช อดีตนายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน ให้สัมภาษณ์เช่นกันว่า เรื่องบริการเมดิคัลและเวลเนส สิ่งสำคัญอยู่ตรงที่นโยบายรัฐต้องมีความชัดเจน  หากจะให้ภาครัฐมาแย่งภาคเอกชนดำเนินการเรื่องนี้ได้ด้วย ก็ควรจะต้องให้อยู่ในกฎหมายเดียวกัน แข่งขันด้วยเครื่องยนต์ที่คล้ายกัน จะได้รู้ว่าควรจะทำบทบาทแบบใด

นอกจากนี้  รัฐควรจะต้องหาแนวทางเจรจา ในการดึงผู้ป่วยจากกลุ่มสหภาพยุโรปบินเข้ามารับการรักษาในประเทศไทย โดยเบิกสวัสดิการหรือประกันสุขภาพที่ซื้อในประเทศต้นทางได้  ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายที่ถูกลง เช่น คนในยุโรปต้องเข้าคิวเปลี่ยนข้อเข่า หากมารับบริการที่ประเทศไทย ส่วนประกันสุขภาพที่ซื้อไว้ในประเทศของเขาจะไม่จ่าย ถ้าไม่ได้ซื้อประกันชนิดข้ามประเทศ  

“เดิมที่มีการปิดกั้นเพราะกลัวคนยุโรปจะไปรับบริการในสหรัฐอเมริกา ซึ่งราคาแพงกว่ายุโรป จึงปิดไม่ให้ไปรักษานอกประเทศ แต่หากบินมารับบริการที่รพ.เอกชนในเอเชียอย่างไทย ราคาจะถูกกว่า และคนไข้ได้รับบริการเร็วขึ้น แล้วทำไมจะไม่ทำ”นพ.พงษ์พัฒน์กล่าว  

เพิ่มจำนวนเอ็กซ์แพ็ท

นพ.พงษ์พัฒน์ กล่าวอีกว่า สำหรัยคนญี่ปุ่นมีประกันสังคม เมื่อเกษียณอายุจะมีเงินเก็บประมาณคนละ 5 ล้านบาท และเงินบำนาญคนละราว 50,000 บาทต่อเดือน  ซึ่งหากอยู่ในประเทศเมื่อป่วยจะเบิกสวัสดิการได้

แต่เมื่อพำนักในไทยเป็น Long Stay จะเบิกสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลไม่ได้ ต้องใช้เงินส่วนตัวเอง ซึ่งหากสามารถเจรจาให้คนญี่ปุ่นเบิกค่ารักษาได้หากรักษาพยาบาลในไทย  ก็จะทำให้คนเข้ามาอยู่ในไทยมากขึ้น จึงต้องเพิ่มกลุ่มต่างชาติที่อาศัยอยู่ในไทย หรือกลุ่มเอ็กซ์แพ็ทมากขึ้น