รพ.เอกชนบัตรทอง ชี้ร่วมบริการ ขาดทุนคือกำไรชีวิต แต่ควร 'ร่วมจ่าย'

นักวิชาการ ชี้รพ.เอกชนบัตรทอง ร่วมรักษาฟรี บัตรทอง 30 บาท ขาดทุนคือกำไรชีวิต เป็นกุศล แต่แนะควรร่ามจ่าย ไม่เกิน 10 %
KEY
POINTS
- 5 รพ.เอกชนบัตรทอง ให้บริการรักษาฟรี ระดับปฐมภูมิพื้นที่กรุงเทพฯ ผู้ป่วยมีสิทธิบัตรทอง 30 บาท ช่วง 1 เดือนคนลงทะเบียนแล้วเกือบ 2.5 หมื่นคน
- นักวิชาการ และผช.ผอ.รพ.เอกชน ชี้ร่วมรักษาสิทธิบัตรทอง ขาดทุนคือกำไรชีวิต เป็นกุศล
- ภาคเอกชน แนะบัตรทอง คนที่อยู่เหนือเส้นความจนที่ควรต้องร่วมจ่าย นักวิชาการเผยหากเพิ่มเติมเรื่อง co-payment (ร่วมจ่าย)เข้ามาอีกเล็กน้อย เช่น ไม่เกิน 10% จะเป็นส่วนช่วยสนับสนุน
ก่อนหน้านี้ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร แทบจะไม่มี “รพ.เอกชน”เข้าร่วมในการให้บริการผู้ป่วยสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท) การรับบริการระดับปฐมภูมิของผู้ป่วยจะเป็นการใช้ “คลินิกชุมชนอบอุ่น” เป็นสำคัญ หากเกินศักยภาพจึงจะส่งไปรพ.ระดับที่สูงขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่ก็ยังเป็น รพ.รัฐ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ,กรุงเทพมหานคร และรพ.โรงเรียนแพทย์
5 รพ.เอกชนบัตรทอง รักษาปฐมภูมิ
ล่าสุด ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร มี รพ.เอกชน 5 แห่ง ได้ขึ้นทะเบียนเป็นหน่วยบริการปฐมภูมิและหน่วยบริการประจำเพื่อดูแลประชาชนสิทธิบัตรทอง 30 บาท รองรับการดูแลประชาชนได้หลายแสนคน
ตั้งแต่วันที่ 27 เมษายน 2568 ช่วงกว่า 1 เดือน ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 11 มิถุนายน 2568 มีประชาชนผู้มีสิทธิบัตรทอง ได้ทำการลงทะเบียนและย้ายหน่วยบริการมายัง รพ.เอกชนบัตรทอง 5 แห่งแล้ว จำนวน 24,997 คน แยกเป็น
- โรงพยาบาลไอเอ็มเอช สีลม (เขตบางรัก) จำนวน 2,852 คน
- โรงพยาบาลไอเอ็มเอช ธนบุรี (เขตราษฎร์บูรณะ) จำนวน 4,216 คน
- โรงพยาบาลบางนา 1 (เขตบางนา) จำนวน 5,094 คน
- โรงพยาบาลเดอะซีพลัส ประเวศ (เขตประเวศ) จำนวน 624 คน
- โรงพยาบาลเพชรเวช (เขตห้วยขวาง) จำนวน 12,211 คน
“ประชาชนที่มีความประสงค์ย้ายสิทธิมารับบริการที่รพ.เอกชนทั้ง 5 แห่ง ยังคงทำได้ ซึ่งแต่ละโรงพยาบาลมีศักยภาพรองรับบริการได้อีก” นพ.วีระพันธ์ ลีธนะกุล รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าว
รพ.เอกชนบัตรทอง ขาดทุนคือกำไรชีวิต
นางปรานอมวัน สมสกุล อาจารย์คณะบริหารธุรกิจ สาขาการจัดการบริการสถานพยาบาล มหาวิทยาลัยราชภัฎธนบุรี และผู้ช่วยผอ.รพ.มิตรประชา ซึ่งเข้าร่วมเป็นหน่วยบริการบัตรทอง 30 บาท กล่าวว่า ในฐานะประชาชนคนไทยคนหนึ่ง ส่วนตัวแล้วรู้สึกยอมรับ เชื่อมั่นไว้และวางใจการบริหารจัดการระบบบัตรทองของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ซึ่งเป็นองค์กรหลักที่ช่วยดูแลประชากรถึง 46 ล้านคน โดยเฉพาะผู้มีฐานะปานกลางและยากจน ไม่ว่าจะเป็นระบบการบริหารจัดการและการเบิกจ่ายซึ่งมีความโปร่งใส รวดเร็วและเป็นที่น่าเชื่อถือ เป็นที่ไว้วางใจของประชาชน
สิ่งที่อยากแนะนำเพิ่มเติมคือ อยากให้เผยแพร่และสื่อสารในเรื่องสิทธิให้มากขึ้น เช่น การสื่อสารในโรงเรียนเพื่อให้มีพื้นฐานตั้งแต่เด็กๆ และสามารถบอกผู้ปกครองได้ว่าใช้สิทธิ์อย่างไร หรือแม้แต่การมีวิชาสอนเรื่องสิทธิบัตรทองในโรงเรียนเพื่อสร้างพื้นฐานที่มั่นคงในระยะยาว รวมทั้งการสื่อสารกับให้กลุ่มพนักงานในโรงพยาบาลเข้าใจเรื่องสิทธิ เพราะบางครั้งบุคลากรก็อาจจะยังไม่เข้าใจและไม่สามารถอธิบายให้คนไข้ฟังได้
ผลที่ตามมาทำให้เกิดความขัดแย้ง ร้องเรียนได้ แต่ถ้าพนักงานโรงพยาบาลเข้าใจสิทธิจะสามารถสื่อสารให้ผู้มาใช้บริการเข้าใจตรงกันได้เช่นกัน แต่หากพนักงานโรงพยาบาลทำงานได้อย่างโปร่งใสถูกต้อง จะปลอดภัยทุกฝ่าย
แนะบัตรทอง co-payment เพิ่ม
สำหรับประเด็นเรื่องอัตราการจ่ายชดเชยที่หน่วยบริการบางส่วนมองว่าไม่สะท้อนต้นทุนบริการที่แท้จริงหรือให้บริการแล้วขาดทุน ตนมองว่าเป็นการขาดทุนคือกำไรชีวิต ให้เพื่อนมนุษย์คนไทยได้รับการรักษาที่รวดเร็ว ปลอดภัย ในยุคเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบัน ได้รับกุศลร่วมกันทั้ง 3 ฝ่ายคือผู้ป่วย โรงพยาบาล และ สปสช. ต้องเข้าใจว่าคนไข้บัตรทองส่วนมากไม่มีเงิน แต่ถ้ามองว่าโรงพยาบาลอยู่ได้ มีการจ้างงาน ทำให้พนักงานมีงานทำก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ win-win ด้วยกันทุกฝ่าย
“ในเรื่องการบริหารกองทุน หากเพิ่มเติมเรื่อง co-payment เข้ามาอีกเล็กน้อย เช่น ไม่เกิน 10% จะเป็นส่วนช่วยสนับสนุน แต่เรื่องนี้ก็ต้องคุยกันอีกทีว่าประชาชนจะสามารถรับได้หรือไม่
ปัจจุบันเงินของ สปสช. มาจากภาษีของประชาชน ถ้าการเบิกจ่ายถูกต้อง โปร่งใส มันก็ win-win กันทุกฝ่าย ยกตัวอย่างเช่น ในฐานะผู้ช่วยผู้อำนวยการโรงพยาบาลมิตรประชา ดูแลเรื่องการเบิกจ่าย จะเน้นเสมอว่าต้องทำให้ถูกต้องโปร่งใส แล้วจะเป็นธรรมด้วยกันทุกฝ่าย สปสช.ก็ไม่เหนื่อย ฝั่งโรงพยาบาลก็ไม่เหนื่อย พออยู่ได้ ถ้าวันนี้ทำให้ถูกต้องโปร่งใสก็ไม่ต้องกลัววันพรุ่งนี้ว่าจะมีการร้องเรียนอะไร
บัตรทอง คนเหนือเส้นจนควรร่วมจ่าย
แหล่งข่าวแวดวง รพ.เอกชน ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับ รพ.เอกชนบัตรทองว่า 5 แห่งที่เข้าร่วมนั้น เป็นรพ.ขนาดไม่ใหญ่จากเจ้าเดียวกัน จะเป็นให้บริการรักษาโรคทั่วไป ส่วนรพ.เอกชนใหญ่ๆ ที่หัตถการมากจะไม่ได้เข้าไปร่วม จะมีเฉพาะรพ.มงกุฏวัฒนะอยู่แห่งเดียว
สิ่งที่ส่วนตัวเห็นและมองว่าจะเป็นปัญหาตลอดไป จากที่ได้มีการยกเลิกหลักการสำคัญ เรื่องของการร่วมจ่าย เดิมอยู่ที่ 30 บาทเมื่อเข้ารักษา ซึ่งเงินของกองทุนประกันสุขภาพแห่งชาติหรือบั ตรทอง 30 บาท มาจากงบประมาณภาษีประชาชน และไม่ได้ขึ้นตลอดตามค่าเสื่อมทางการแพทย์ (medical inflation)ที่อยู่ที่ 10-15 % เมื่อเป็นเช่นนี้รพ.จึงต้องรับเงินค่าบริการในอัตราที่น้อยกว่าต้นทุน ทำให้ไม่สามารถอยู่ร่วมในระบบได้ อย่าง รพ.สังกัดกระทรวงสาธารณสุข(สธ.)เงินบำรุงรพ.ก็หมด
แหล่งข่าว มองว่า หลักที่ถูกต้องควรคำนึงถึงเรื่องหลักการร่วมจ่ายด้วย ลักษณะของการร่วมจ่ายขึ้นกับมุมมอง เช่น ประเทศไทยอาจดูจากเส้นความจนที่มีการวัดทุกปี คนที่อยู่ต่ำกว่าเส้นความจนที่มีอยู่ราว 10 กว่าล้านคน ไม่ต้องร่วมจ่าย แต่คนที่อยู่เหนือเส้นความจนต้องร่วมจ่าย
อาจจะนำระบบของประเทศญี่ปุ่นมาใช้ก็ได้ คือ ผู้ป่วยนอก(OPD) 30 % ผู้ป่วยใน(IPD) 10 % ตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น หรืออาจจะใช้รูปแบบอื่นโดยคิดให้รพ.ที่ร่วมให้บริการไม่เข้าเนื้อ ปัจจุบัน แม้แต่ในส่วนของประกันสุขภาพภาคเอกชนยังกำหนดให้ต้องร่วมจ่ายหรือ Co-Payment
“การร่วมจ่ายส่วนหนึ่งเป็นการเบรกให้คนตระหนักเรื่องการเข้ารับการรักษาเมื่อจำเป็น อย่างคนที่อยู่เหนือเส้นความจนที่ควรต้องร่วมจ่าย คนนึงไปใช้บริการ 5 ครั้ง อีกคนใช้ 50 ครั้ง แบบนี้ควรร่วมจ่ายหรือไม่เมื่อมีการใช้เกินกว่าความเป็นจริง ก็แฟร์อยู่แล้ว หรือถ้าเป็นผู้ป่วยใน ค่ารักษาพยาบาลราว 20,000 บาท ร่วมจ่าย 2,000 บาทก็ตรงไปตรงมาขึ้นกับโรคหนักโรคเบา”แหล่งข่าวกล่าว
อนึ่ง ประชาชนในพื้นที่กรุงเทพฯ ทั้งผู้ที่มีทะเบียนบ้านในกรุงเทพฯ หรือผู้ที่เข้ามาทำงานและพักอาศัยในพื้นที่กรุงเทพฯ แต่ไม่ได้ย้ายทะเบียนมา สามารถลงทะเบียนเปลี่ยนหน่วยบริการปฐมภูมิและหน่วยบริการประจำได้ ตามรายชื่อโรงพยาบาลเอกชนทั้ง 5 แห่งที่ขึ้นทะเบียนใหม่ เมื่อลงทะเบียนแล้วสามารถเข้ารับบริการได้โดยตรง ณ โรงพยาบาลที่ลงทะเบียน