'อดีตนายกสมาคม รพ.เอกชน' เผยผู้ป่วยกัมพูชา ไม่ลด - อาหรับพึงระวัง

'อดีตนายกสมาคม รพ.เอกชน' เผยผู้ป่วยกัมพูชา ไม่ลด - อาหรับพึงระวัง

สถานการณ์ไทย-กัมพูชา “อดีตนายกสมาคม รพ.เอกชน” เผยภาคเฮลท์แคร์ไม่กระทบ มองภาพรวมผู้ป่วยกัมพูชาไม่ลดลง  ส่วนสู้รบตะวันออกกลาง ภาพใหญ่พึงระวัง แนวโน้มรัฐช่วยจ่ายลดลง

สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ที่มีการปิดด่าน รวมถึง มีการระบุว่ากัมพูชาจะส่งผู้ป่วยไปรับการรักษาพยาบาลในประเทศอื่นแทนประเทศไทย และอาจจะมีการเรียกแรงงานกัมพูชาที่ทำงานอยู่ในประเทศไทย กลับประเทศ รวมถึง การสู้รบระหว่างอิสราเอล และอิหร่าน ซึ่งกลุ่มผู้ป่วยCLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม) และประเทศกลุ่มตะวันออกกลาง ถือเป็นหนึ่งในลูกค้ากลุ่มหลักที่เข้ามารับบริการรักษาพยาบาลในประเทศไทย

เมื่อวันที่ 13 มิ.ย.2568 นพ.เฉลิญ หาญพาณิชย์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) และอดีตนายกสมาคม รพ.เอกชน ให้สัมภาษณ์ว่า จำนวนผู้ป่วยกัมพูชาที่เข้ามารักษาพยาบาลในประเทศไทย อยู่ที่เครือรพ.ว่ามีฐานลูกค้าเท่าไร ซึ่งตั้งแต่มีสถานการณ์ชายแดน ผู้ป่วยไม่ได้ลดลง คนที่มีกำลังจ่ายก็สามารถบินเข้ามารับการรักษาได้ ยังมีการเดินทางมารับการผ่าตัดหัวใจอย่างปกติ เพราะเรื่องเทคโนโลยีการรักษาเป็นเรื่องชีวิตที่ต้องพิจารณามารับการรักษาตัวเอง และเรื่องผู้ป่วยเป็นข้อยกเว้นในสถานการณ์ระหว่างประเทศต่างๆ

ภาคเฮลท์แคร์ไม่กระทบ

“เรื่องคนไข้ ภาคเฮลท์แคร์ไม่มีประเด็น เหมือนกับช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่มีการปิดด่านก็สามารถข้ามแดนมารักษาได้ เนื่องจากเรื่องของผู้ป่วยเป็นเรื่องมนุษยธรรม  และเท่าที่ติดตามมาตั้งแต่มีสถานการณ์ปิดด่าน เรื่องผู้ป่วยไม่มีผลตกกระทบ การเจ็บป่วยสามารถข้ามแดนมารักษาได้ ไม่ว่าเวลาไหน มาได้ 24 ชั่วโมง”นพ.เฉลิม กล่าว

กรณีหากมีการเรียกแรงงานกัมพูชากลับประเทศจะกระทบกับผู้ป่วยแรงงานกัมพูชาในไทยหรือไม่ นพ.เฉลิม กล่าวว่า  ความเห็นส่วนตัว คนที่มาทำงานในประเทศไทย หากมีการเรียกกลับประเทศ ต้องดูว่าในงานรองรับในประเทศหรือไม่ ท่ามกลางสถานการณ์ที่โดนประเทศในสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป ตัดสิทธิประโยชน์  หากกลับไปแล้วไม่มีตำแหน่งงานมารองรับชาวบ้านก็จะลำบาก จึงเชื่อว่าคนที่เข้ามาทำงานในประเทศไทยอย่างถูกต้อง หากได้ค่าตอบแทนสูงอยู่แล้วคงจะไม่กลับ

แนวโน้มอาหรับ รัฐช่วยจ่ายลดลง

สำหรับสถานการณ์ในตะวันออกกลางที่อิสราเอลเปิดการโจมตีอิหร่าน นพ.เฉลิม กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นภาพใหญ่ที่พึงระวัง เนื่องจากเมื่อปี  2567 เกิดเหตุการณ์ที่ประเทศคูเวตสะสางไม่จบจนส่งผลต่อผู้ป่วยที่เข้ามารับการรักษา ทั้งนี้ แนวโน้มกลุ่มประเทศตะวันออกกลางในอนาคต หากสามารถให้บริการได้ภายในประเทศก็จะไม่สนับสนุนไปต่างประเทศ ยกเว้นผลิตภัณฑ์ที่ทำในประเทศไม่ได้ 

“หากมีสถานการณ์สู้รบในตะวันออกกลาง ไม่ได้ลามปามไปทั่ว ตอนนี้ยังเป็นเรื่องของอิสราเอล และอิหร่าน ส่วนที่ยังบริการภายในประเทศไม่มีและจำเป็นต้องรับบริการคงจะเข้ามารับบริการตามปกติ   เพียงแต่เรื่องของค่าใช้จ่ายจะสูงขึ้น รัฐบาลก็จะเกิดการระมัดระวัง อย่างไรก็ตาม การเจ็บป่วยของผู้ป่วยกลุ่มตะวันออกกลางในช่วงหลัง จะเป็นการจ่ายเงินเอง  หากผู้ป่วยยังต้องการเข้ามารับบริการรักษาพยาบาลในประเทศไทย” นพ.เฉลิม กล่าว

ผู้ป่วยCLMV ราว 48 %

กลุ่มผู้ป่วยต่างชาติของเครือ รพ.เกษมราษฎร์  นพ.เฉลิม กล่าวด้วยว่า  เครือฯ มีเงินได้จากกลุ่มผู้ป่วยต่างชาติทั้งกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม) และกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง ช่วงปลายปี 2567 ประมาณ 14% ซึ่งเดิมมีบิลล์ใหญ่กับประเทศคูเวตแต่หายไป 

ทั้งนี้ ในไตรมาส 1 ปี 2568 ลูกค้าผู้ป่วยต่างชาติโต 13-14% และส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้ป่วยCLMV ราว 48% มากที่สุดเป็นชาวเมียนมา ลาว และกัมพูชา ตามลำดับ และตะวันออกกลาง 28% ซึ่งในไตรมาส 1 เป็นช่วงเดือนรอมฎอนด้วย

รพ.เกษมราษฎร์อรัญฯ ผู้ป่วยไม่ลดลง

“เครือ รพ.เกษมราษฎร์ มีสาขา รพ.ที่ประเทศลาว ,ด่านแม่สาย จ.เชียงราย และ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ซึ่งในส่วนของกลุ่มผู้ป่วยกัมพูชา ที่เข้ามารับการรักษาในเครือรพ.เกษมราษฎร์ นั้น ผมดูตัวเลขทุกวัน ไม่ได้ลดลง ชัดเจนที่ รพ.เกษมราษฎร์ สาขาอรัญประเทศ จากชาวกัมพูชา น่าจะอยู่ที่ประมาณ 30-35 %ของภาพรวม เพราะการเจ็บป่วยสามารถผ่านแดนได้” นพ.เฉลิม กล่าว 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์