คลี่ระบบ ‘งบประมาณบัตรทอง’ ปี 67 จ่าย- รับ ต่างกัน 3,000 ล้าน

กางระบบงบประมาณบัตรทอง 30 บาท ปี 67 บัญชีจ่าย-รับ เงินต่างกัน 3,000 ล้านบาท พบเบิกผิดราว 7 % เลขาฯสปสช.แจงการบริหารงบประมาณ เชื่อรัฐไม่ปล่อยให้รพ.ล้มละลายจนปิดตัวแน่นอน
KEY
POINTS
- เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.)แจงการบริหารงบประมาณบัตรทอง เชื่อรัฐไม่ปล่อยให้รพ.ล้มละลายจนปิดตัวแน่นอน
- สปสช.ตรวจสอบงบประมาณบัตรทอง 30 บาท ปี 2567 บัญชีฝั่งจ่าย-ฝั่งรับ เงินต่างกัน 3,000 ล้านบาท พบเบิกผิดกว่า 7 %
- เลขาธิการสปสช. เผยไตรมาส 1 ปี 2568 รพ.สธ.เงินบำรุงติดลบจริง 13 แห่ง ไม่ใช่ 218 แห่ง ย้ำต้องนำทุนหมุนเวียนสุทธิมาคิดด้วย แต่โดนแย้ง “หนี้สูญ” – “ต้นทุนจม”นำมาคิดไม่ได้
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการสะท้อนจากฝั่ง รพ.สังกัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ถึงปัญหาการขาดสภาพคล่องทางการเงิน โดยในไตรมาส 1 ปี 2568 พบรพ.ที่มีเงินบำรุงหลักหักหนี้ ติดลบ 218 แห่ง จาก 902 แห่ง โดยระบุส่วนหนึ่งของปัญหามาจากระบบการบริหารงบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ บัตรทอง 30 บาท และมีการมองว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป จะส่งผลให้ระบบสาธารณสุขของประเทศล่ม
เมื่อย้อนดูงบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (งบประมาณบัตรทอง 30 บาท) รวมเงินเดือนบุคลากร ช่วง 3 ปี พบว่า ปี 2567 ได้รับราว 217,628.95 ล้านบาท ปี 2568 ได้ราว 236,386.52 ล้านบาท และปี 2569 ได้รับตามมติครม.ราว 265,295.58 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.18 %
มาร์เก็ตแชร์ งบประมาณบัตรทอง ปี 2567
การกระจายงบประมาณบัตรทองในหน่วยบริการ ปีงบประมาณ 2567 แยกเป็น
- รัฐในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข(สป.สธ.) 94,303.11 ล้านบาท คิดเป็น 61.88 %
- รัฐนอกสธ. 23,279.27 ล้านบาท คิดเป็น 15.28 %
- เอกชน 15,731.63 ล้านบาท คิดเป็น 10.32 %
- รัฐในสธ.นอก สป.สธ. 14,362.28 ล้านบาท คิดเป็น 9.42 %
- อื่นๆ 4,721.24 ล้านบาท คิดเป็น 3.10 %
การจัดทําของบประมาณบัตรทอง
ล่าสุด เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. 2568 นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) ได้ให้ข้อมูลกับสื่อเครือเนชั่นว่า ในการจัดทำคำของบประมาณของสปสช.แต่ละปี ใช้ “คณิตศาสตร์ของการทํานาย” ต้องตั้งต้นจากการทำนายว่าปีหน้าจะมีคนป่วยจำนวนเท่าไหร่ ต้นทุนของผู้ป่วยแต่ละครั้งที่ไปให้บริการเท่าไหร่ แล้วค่อยคูณกัน ออกมาเป็นเงิน
รวมถึง พิจารณาอัตราเงินเฟ้อในส่วนของค่าแรง ค่ายา เพิ่มราว 2 % และส่วนของสิทธิประโยชน์ใหม่ที่เพิ่มเข้ามา ก็จะต้องมาพร้อมกับงบประมาณรองรับ ก็จะทำให้งบประมาณบัตรทองที่ขอไปนั้นเพิ่มขึ้นทุกปี แต่เพียงพอหรือไม่นั้นไม่รู้
“งบฯที่ขอขึ้นไปไม่เคยได้รับตามที่ขอ ก็เป็นปกติของทุกหน่วยราชการ ซึ่งเงินที่เราจ่ายจริง บางปีจ่ายมากกว่าที่ได้รับงบฯ เพราะมีงบฯกลางเข้ามาเพิ่มเติม แปลว่าบางปีถ้าเกิดปัญหาจริง ช็อตจริง เงินไม่พอ ก็จะขอไปที่รัฐบาลเพื่อนำเงินมาเติม ซึ่งการจะของบฯกลางก็ต้องรอช่วงปลายปี เพื่อให้เห็นตัวเลขเงินก่อนว่าจะเหลือหรือไม่เหลือ นี่คือสภาพที่เป็นอยู่” นพ.จเด็จกล่าว
สิทธิประโยชน์ใหม่มีเงินรองรับ
ขณะที่หากมีการเพิ่ม “สิทธิประโยชน์ใหม่” จะมีงบประมาณรองรับด้วย ได้แก่
-
ฝั่งแร่ 1.36 ล้านบาท
-
โปรตอน 50 ล้านบาท
-
การผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์ 60 ล้านบาท
-
ตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมด้วยเครื่องแมมโมแกรม 100.15 ล้านบาท
-
รถรับส่งผู้ทุพพลภาพ 15.77 ล้านบาท
-
นโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ 5,045.39 ล้านบาท
-
บริการเทเลเมดิซีนและบริการหน่วยนวัตกรรม 1,943.72 ล้านบาท
-
ห้องฉุกเฉินคุณภาพ 209.08 ล้านบาท
-
มะเร็งรักษาทุกที่ 5,857.85 ล้านบาท แ
-
ละสินค้าในบัญชีนวัตกรรมไทย 464.89 ล้านบาท
งบประมาณบัตรทอง จัดสรรเป็นหมวดย่อย
การจัดสรรงบประมาณบัตรทอง จะแบ่งเป็นหมวดย่อยใน 2 กลุ่ม คือ กลุ่มงบเหมาจ่ายรายหัว แยกเป็นหมวดย่อย ค่าบริการผู้ป่วยนอก บริการผู้ป่วยใน บริการกรณีเฉพาะ บริการพื้นฟูสมรรถภาพด้านการแพทย์ บริการแพทย์แผนไทย และบริการทางการแพทย์ที่เบิกจ่ายในลักษณะงบลงทุน ทั้งนี้ งบเหมาจ่ายรายหัวเกิน 50 % จัดสรรเป็นค่าบริการผู้ป่วยในและผู้ป่วยนอก ในปีงบประมาณ 2567 จัดสรรราว 136,000 ล้านบาท และปี 2568 ราว 149,000 ล้านบาท
และกลุ่มค่าบริการนอกงบเหมาจ่ายรายหัว คือ ค่าบริการผู้ติดเชื้อเอไอวีและผู้ป่วยเอดส์ ค่าบริการผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง ค่าบริการควบคุม ป้องกัน และรักษาโรคเรื้อรัง ค่าบริการเพิ่มเติมพื้นที่กันดาร เสี่ยงภัย และจังหวัดชายแดนภาคใต้
ค่าบริการเพิ่มเติมบริการปฐมภูมิและหน่วยนวัตกรรม ค่าบริการร่วมกับอบต. เทศบาล เมืองพัทยาและกรุงเทพฯ ค่าบริการสำหรับผู้มีภาวะพึ่งพิงในชุมชน ค่าบริการร่วมกับอบจ. เงินช่วยเหลือเบื้องต้นผู้รับและผู้ให้บริการ ค่าบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค และค่าบริการสร้างเสริมสุขภาพและควบคุมโรคไม่ติดต่อ(NCDs)
“สมัยก่อนจัดสรรเงินให้โรงพยาบาลไปเลย แล้วทุกอย่างคือไปรับผิดชอบเอาเอง ปรากฏว่าหลายงานไม่เข้าเป้า เพราะเมื่อให้เงินไปแล้วไม่รู้ว่าจะไปกำกับงานอย่างไร จึงมีการจัดสรรเป็นหมวดย่อยๆ แล้วกํากับติดตามแต่ละหมวด ต้องทำแบบนี้ เนื่องจากต้องการันตีผลงาน ไปรายงานต่อรัฐบาลและสภา ”นพ.จเด็จกล่าว
หมวดที่มีการถกเถียงกันมากในช่วงที่ผ่านมา คือ งบฯผู้ป่วยในที่มากสุด ราว 80,000 ล้านบาท ซึ่งเดิมที่งบฯนี้จะเหลือทุกปี จากการที่มีผู้ป่วยนอนรพ.น้อยกว่าเงินที่จัดสรรให้ในหมวดนี้ และไม่สามารถนำไปใช้ให้บริการในหมวดอื่นได้ ต้องคืนเงิน จึงมีการเสนอให้ใช้ “ระบบงบปลายปิด”กับหมวดนี้ คือ ปิดงบประมาณหมวดนี้เลยตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ
ทว่า ในปี 2567 กลับกลายเป็นเงินในหมวดนี้ไม่เพียงพอ ทำให้ในการจัดสรรเงินให้ต่อ 1 หน่วยน้ำหนักสัมพัทธ์ต้องลดลงจากจำนวนเงินที่กำหนดไว้เดิม ส่วนปีงบประมาณ 2568 ก็จ่ายในอัตราที่รพ.อยู่ได้ที่ 8,350 บาทต่อหน่วนน้ำหนักสัมพัทธ์
ส่วนวิธีการจ่ายเงินงบบัตรทอง มี 3 วิธี คือ
1.จ่ายแบบเหมาจ่ายตายหัว จัดสรรไปตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ ตามจำนวนประชาชนในพื้นที่ไปให้รพ. เพื่อให้มีเงินหมุน ทุกปีจะอยู่ที่ราว 60,000 ล้านบาท
2.จ่ายตามบริการ จะต้องนำผลงานมาแลกเงิน ต้องทำงานก่อนแล้วส่งข้อมูลมาเบิกเงินกับสปสช.
3.จ่ายตามกลุ่มวินิจฉัยโรคร่วมหรือDRG ในส่วนของค่าบริการผู้ป่วยใน
จ่าย-รับ ไม่ตรงกัน 3,000 ล้านบาท
เมื่อพิจารณาเรื่องการรับรู้รายได้จากกองทุนบัตรทองของหน่วยรพ.สังกัดสป.สธ. ปีงบประมาณ 2567 ในรพ.จำนวน 902 แห่ง พบว่า สปสช..จ่าย 111,378.1 ล้านบาท รพ.รับรู้รายได้ 108,375.7 ล้านบาท รับรู้แตกต่าง 3,002.4 ล้านบาท โดยรับรู้ต่ำกว่าที่สปสช.จ่ายใน 10 เขตสุขภาพ และรับรู้สูงกว่าที่สปสช.จ่าย 2 เขตสุขภาพ คือ เขตสุขภาพที่ 4 และ12
“บัญชีไม่ตรง แตกต่างกัน 3,000 ล้านบาท ทางบัญชีต่างกันบาทเดียวก็ไม่ได้ จะต้องลงตัวเท่ากัน เพราะโอนเงินผ่านธนาคารต้องเข้าสมุดบัญชีหน่วยบริการ สุดท้ายปิดงบวันที่ 30 ก.ย.ต้องเท่ากันหมด ก็จะให้บริษัทบิ๊กโฟร์เข้าไปตรวจสอบด้วยว่าปัญหาเกิดจากอะไรพร้อมเสนอแนวทางแก้ปัญหา”นพ.จเด็จกล่าว
ที่มีความแตกต่างกัน นพ.จเด็จ กล่าวว่า อาจเกิดจากวิธีการลงบัญชี ไม่เหมือนกัน อย่างเช่น บางอันที่สปสช.ส่งเงินไป รพ.ไม่ได้ลงเป็นรายรับ แต่ไปลงเป็นหนี้ก่อน ตรงนี้เป็นมาตรฐานทางบัญชีที่ต้องไปซักซ้อมกัน ก็ต้องให้นักบัญชีเข้าไปช่วยดู
สปสช.พบเบิกเงินผิด 7.76%
นอกจากนี้ สปสช.มีการตรวจสอบการเบิกเงินด้วยวิธีการสุ่มตรวจแบบไม่มีเงื่อนไข สำหรับบริการผู้ป่วยใน ไตรมาส 1 ปี 2568 พบว่ามีการเบิกผิดประมาณ 7.76 % เป็นเงินราว 4,200 ล้านบาท
“การเบิกผิดนี้มีทั้งคนที่โอเวอร์เคลม และที่เบิกต่ำไ ปก็ต้องไปทําให้เบิกเพิ่มขึ้น ซึ่งโรงพยาบาลขาดทุนส่วนใหญ่มักจะเบิกต่ำไป โรงพยาบาลมักจะคิดว่าจะต้องทําแบบเต็มร้อย เบิกแล้วจะได้สูงสุด แต่จริงๆกลายเป็นได้ต่ำกว่าความเป็นจริง ดีที่สุดควรจะเชื่อมข้อมูลกันแล้วให้ระบบดำเนินการจะดีที่สุด”นพ.จเด็จกล่าว
เงินบำรุงรพ.สธ.มีปัญหาเพียง 13 แห่ง
สำหรับสถานะการเงินของรพ.สังกัดสป.สธ.ที่มีการระบุว่าไตรมาส 1 ปี 2568 มีเงินบำรุงหลังหักหนี้ติดลบ 218 แห่งจาก 902 แห่ง
นพ.จเด็จ กล่าวว่า เป็นการคิดแบบนำเงินสดมาลบด้วยหนี้สิน แต่ในทางบัญชีนั้นจะต้องนำทุนหมุนเวียนสุทธิที่เรียกว่า net working capital มาคิดด้วย เพราะยังมีเงินที่ยังเรียกเก็บจากกองทุนสปสช. ประกันสังคม หรือข้าราชการไม่ได้ แต่สุดท้ายจะเข้ามาเป็นเงินของรพ.เช่นกันเพียงแต่จะเรียกเก็บได้เร็วหรือช้า
เมื่อนำส่วนนี้คิดด้วย จากรพ. 902 แห่ง เหลือขาดสภาพคล่องจริงๆเพียง 13 แห่งจากที่มีการระบุว่ามี 218 แห่ง โดย 10 รพ.ที่มียอดเงินติดลบมากที่สุดจำนวนก็จะติดลบลดลง
- รพ.ขอนแก่น ก็จะเหลือติดลบจริง 79.24 ล้านบาท จากที่มีการระบุว่า 1,200 ล้านบาท
- รพ.ละงู เหลือ 13.59 ล้านบาท จากที่ระบุ 34.65 ล้านบาท
- รพ.บางแพ เหลือ 10.53 ล้านบาท จากที่ระบุ 19.31 ล้านบาท
- รพ.อุ้มผาง เหลือ 7.30 ล้านบาท จากที่ระบุ 32.68 ล้านบาท
- รพ.ยุพราชธาตุพนม เหลือ 6.85 ล้านบาท จากที่ระบุ 51.68 ล้านบาท
- รพ.หางดง เหลือ 6.75 ล้านบาท จากที่ระบุ 74.89 ล้านบาท
- รพ.ดอกคำใต้ เหลือ 6.49 ล้านบาท จากที่ระบุ 18.91 ล้านบาท
- รพ.ฟากท่า เหลือ 5.50 ล้านบาท จากที่ระบุ 12.83 ล้านบาท
- รพ.ดอยหล่อ เหลือ 4.86 ล้านบาท จากที่ระบุ 19.41 ล้านบาท
- รพ.มะนัง เหลือ 3.53 ล้านบาท จากที่ระบุ 10.01 ล้านบาท
ทุนหมุนเวียนสุทธิ แต่หนี้สูญ-ต้นทุนจม
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้มีเสียงสะท้อนจากฝ่ายของรพ.ว่า ทุนหมุนเวียนสุทธิที่มีลูกหนี้และสินค้าคงคลังนั้น สำหรับรพ.รัฐแล้ว ลูกหนี้จะเป็นกรณีแรงงานต่างด้าวและผู้ไม่มีสิทธิรักษาใดๆเข้ารับบริการแล้วหายไป โดยที่รพ.ไม่สามารถตามเรียกเก็บเงิน ก็ควรตีส่วนนี้เป็น “หนี้สูญ”
ส่วนกรณีสินค้าคงคลังจะเป็นยาและเวชภัณฑ์ ซึ่งฝั่งรพ.มองว่าควรคิดเป็น “ต้นทุนจม” เนื่องจากได้รับเงินเหมาจ่ายมาแล้ว ไม่สามารถไปเรียกเก็บเพิ่มเติมจากหน่วยงานใดได้อีก รวมถึง ไม่สามารถเรียกเก็บจากคนไข้ด้วย ไม่ควรนำมาคิดทางบัญชี
นพ.จเด็จ กล่าวว่า หนี้สงสัยจะสูญต้องดูก่อนว่าลูกหนี้เป็นใคร เห็นด้วยหากเป็นการเก็บต่างด้าวต้องสูญแน่นอน แต่หากเป็นส่วนที่สปสช.ต้องจ่ายให้ทุกเดือนแต่จ่ายช้าไปแต่ก็ต้องจ่ายแน่ ซึ่งต้องไปดูรายละเอียด ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยผู้บริหาร ในการทํางาน แต่ไม่ใช่เป็นข้อมูลที่จะบอกว่า ระบบล่มไม่ล่ม เจ๊งไม่เจ๊ง มันคนละเรื่อง ถ้าใช้ข้อมูลเดียวกัน มาพูดสิ่งไม่เหมือนกันก็ต้องดีเบต
ส่วนที่มีข้อเสนอเรื่องให้สำรองหนี้สงสัยจะสูญจากสปสช.ไว้ด้วยนั้น นพ.จเด็จ กล่าวว่าเรื่องนี้ควรต้องให้นักบัญชีมาช่วยวิเคราะห์ แต่คิดว่าถ้าจะให้แฟร์ ต้องเอามาตรฐาน ที่ตรงกัน ก่อนว่าอะไร จะถือเป็นหนี้สงสัยจะสูญจะตั้งสํารองได้ และจะตัดสูญกันเมื่อไหร่ เพราะราชการเวลาจะตัดหนี้สูญก็ไม่ง่ายเท่าไหร่ ต้องขออนุญาตเป็นลําดับชั้น และเท่าที่รู้ถ้าใครเป็นหนี้ราชการก็ต้องไปตามเก็บให้ครบ กว่าจะตีเป็นหนี้สูญ ต้องเป็น 10 ปี
"ต้องระมัดระวังเวลาจะรีบบอกว่าอะไรเป็นหนี้สูญ เพราะในทางราชการเงินไม่รั่วไหลแน่นอน ถ้าสปสช.เป็นหนี้แล้วเป็นหนี้ตามกติกา ก็ต้องเรียกเก็บจนถึงที่สุด ถ้าไม่เรียกเก็บก็จะผิด กรมบัญชีกลาง หรือสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.)ก็จะตรวจสอบ”นพ.จเด็จกล่าว
ต้องรู้ต้นทุนที่แท้จริง แนวทางช่วยการเงินรพ.
ถามถึงแนวทางที่สปสช.จะพิจารณาเรื่องการบริหารงบประมาณ เพื่อช่วยทางการเงินรพ.ได้ นพ.จเด็จ กล่าวว่า ต้องการรู้ต้นทุนจริง ก็จะทำให้สปสช.จะเข้มข้นขึ้นในการสู้เต็มที่ตอนของบประมาณ ถ้าจะผิดพลาดมันก็จะเป็นเรื่องจํานวนคนไข้ ที่อาจจะเพิ่มเกินกว่าที่คาดไว้
สปสช.ก็ต้องไปหารือกับรัฐบาลนำเงินมาเพิ่มเติมชดเชยให้กับรพ. ซึ่งปัจจุบันมีการตั้งคณะกรรมการศึกษาต้นทุน ส่วนปัจจุบันที่มีปัญหาการเงินอยู่ 13 แห่ง ก็จะต้องลงไปดูเหตุปัจจัยและช่วยแก้ไข
“หน่วยบริการไม่ต้องกังวล ถ้าท่านเป็นหน่วยงานหลัก ไม่มีรัฐไหนปล่อยให้ ล้มละลายยังไงรัฐก็ต้องไปดูแล ช่วง 20 ปี ผมไม่เคยเห็นปล่อยให้โรงพยาบาล ไหนล้มแล้วก็ปิดตัวไปเลย”นพ.จเด็จกล่าว







