ผู้ป่วย 'มะเร็งปอด'เพิ่มโอกาสหาย ทุกคนเข้าถึงการรักษาเท่าเทียม

คนไทยป่วยมะเร็งปอดรายใหม่ 20,000 ราย/ปี กว่า 50 % เจอระยะ 4 คาดอีก 5-10 ปี PM 2.5 ทำคนป่วยพุ่ง กลุ่มผู้ป่วยเรียกร้องเข้าถึงการคัดกรองเจอเร็ว -การรักษาอย่างเท่าเทียมทุกสิทธิ
KEY
POINTS
- คนไทยป่วยมะเร็งปอดรายใหม่ปีละราว 20,000 ราย กว่า 50 % เจอในระยะที่ 4 สูบบุหรี่ยังเป็นสาเหตุ คาดอีก 5-10 ปีผลจากPM 2.5 ทำคนป่วยพุ่ง
- ขณะที่กลุ่มเพื่อนผู้ป่วยมะเร็งปอดเรียกร้องเข้าถึงการคัดกรองเจอเร็ว -การรักษาด้วยยานวัตกรรมอย่างเท่าเทียมทุกสิทธิ
- แพทย์เผยตรวจเจอมะเร็งปอดระยะแรกอัตรารอดชีวิตถึง 90 % และรัฐควรขยับอัตราพร้อมจ่ายมากขึ้นในโรคหนัก
เมื่อวันที่ 5 มิ.ย.2568 ที่ SCBX Next Tech สยามพารากอน มีการจัดงาน World No Tobacco Day : We Want No Lung Cancer “สร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับอันตรายของการสูบบุหรี่ และรวมพลังเพื่อให้ทุกคนเข้าถึงการรักษาด้วยนวัตกรรมอย่างเท่าเทียม :สร้างโอกาสหายสำหรับผู้ป่วยมะเร็งปอด” โดยได้รับเกียรติจากนายเปโตร สวาห์เลน เอกอัครราชทูตสมาพันธ์รัฐสวิส ประจำประเทศไทย กัมพูชาและลาวเป็นประธานพิธีเปิด
ผู้ป่วยเรียกร้องการเข้าถึงรักษาเท่าเทียม
พญ.ประกายทิพ สุศิลปรัตน์ รองประธานกรรมการมูลนิธิเครือข่ายมะเร็ง กล่าวว่า ในฐานะตัวแทนกลุ่มเพื่อนมะเร็งปอด อยากเห็นความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการรับมือกับโรคมะเร็งปอด ด้วยการ 1.สร้างการตระหนักรู้เกี่ยวกับปัจจัยเสี่ยงของโรคมะเร็งปอด ที่ไม่ได้มีเพียงบุหรี่มวน บุหรี่ไฟฟ้าที่เป็นสาเหตุหลัก แต่การรับควันบุหรี่มือสอง มลพิษ แร่ใยหินและอื่นๆ ก็เป็นเรื่องเสี่ยงเช่นกัน
2.เรียกร้องให้มีการตรวจคัดกรองมะเร็งปอดสามารถเข้าถึงในประชาชนทั่วไป เพราะการตรวจเจอเร็ว รักษาได้หายเร็ว และปัจจุบันแนวโน้มเจอผู้ป่วยที่ไม่ได้สูบบุหรี่และอายุน้อยลงมากขึ้น
และ3.อยากให้มีการทบทวนและสร้างโอกาสในการเข้าถึงยาหรือการรักษาที่มีประสิทธิภาพดี ให้ครอบคลุมผู้ป่วยที่มียีนกลายพันธุ์ในทุกรูปแบบ ในทุกสิทธิการรักษาให้เกิดความเท่าเทียม ให้ทุกคนได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมกับแต่ละบุคคล
ป่วยมะเร็งปอดรายใหม่ 20,000 ราย/ปี
ทั้งนี้ ภายในงานมีการเสวนาหัวข้อ “รู้เร็ว รักษาไว : สร้างโอกาสหายสำหรับ ผู้ป่วยมะเร็งปอด” เรืออากาศเอก นพ.สมชาย ธนะสิทธิชัย ผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ กล่าวว่า ประเทศไทยมีผู้ป่วยมะเร็งปอดรายใหม่ราว 20,000 รายต่อปี โดยพบในภาคเหนือมากที่สุด ในจำนวนนี้เสียชีวิต 15,000 รายต่อปี คิดเป็น 75 % ของคนไทยมะเร็งปอด ซึ่งอุบัติการณ์ภาพรวมลดลง เมื่อดูรายเพศ ผู้ชายลดลงแต่ผู้หญิงคงที่ ส่วนอัตราการเสียชีวิตแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
“คนที่สูบบุหรี่จะใช้เวลา 20 ปีในการเกิดมะเร็งปอด แต่ในผู้หญิงและเด็กจะเกิดเร็วขึ้นประมาณ 15 ปี โดยปัจจัยเสี่ยงจากPM 2.5 ก็ทำนองเดียวกัน ซึ่งปัจจุบันผู้ป่วยมะเร็งปอดในประเทศไทยยังมีสาเหตุจากบุหรี่ราว 80 % แต่จากที่ค่าPM 2.5 ในประเทศไทยเริ่มสูงขึ้นเกินค่าปกติตั้งแต่ปี 2559 แปลว่าอีก 5-10 ปีข้างหน้าจะเริ่มเห็นจำนวนผู้ป่วยมะเร็งปอดเพิ่มขึ้นอย่างมาก จากสาเหตุPM 2.5 ด้วย”เรืออากาศเอก นพ.สมชายกล่าว
รศ.นพ.วิวัฒนา ถนอมเกียรติ นายกรังสีวิทยาสมาคมแห่งประเทศไทย เสริมว่า ผู้ป่วยมะเร็งปอดรายใหม่ในประเทศไทย เกิน 50 % ตรวจเจอในระยะที่ 4 เนื่องจากเป็นระยะที่มีอาการป่วยต่างๆเกิดขึ้น จากการที่มีการลุกลามไปอวัยวะอื่นๆ โอกาสที่จะรอดชีวิตน้อยมาก
ขณะที่การป่วยในระยะที่แรกจะอาการไม่มากหรือไม่มีอาการ โดยเป้าหมายอยากตรวจคัดกรองให้เจอในระยะแรก ที่ไม่มีอาการมากขึ้น แต่โอกาสที่จะตรวจเจอจากการเอกซเรย์ปกติไม่มีเลย อย่างในอเมริกา เนเธอแลนด์ และไต้หวัน ตรวจเจอระยะแรกเกินกว่า 50 % จากการคัดกรองด้วย Low-dose CT scan
คัดกรองเจอเร็วอัตรารอดชีวิต 90 %
รศ.นพ.สมเจริญ แซ่เต็ง สมาคมศัลยแพทย์ทรวงอกแห่งประเทศไทย กล่าวว่า อยากคัดกรองให้เจอผู้ป่วยมะเร็งปอดระยะต้นมากกว่าผู้ป่วยระยะท้าย เนื่องจากการลงทุนค่าใช้จ่ายการรักษาจะสั้น ที่สำคัญอัตราการรอดชีวิตมากขึ้น โดยข้อมูลทั่วโลกหากตรวจเจอระยะแรกที่ถือว่าเป็นสีเขียว อัตรารอดชีวิต 72 เดือนจะอยู่ที่มากกว่า 60 %
ส่วนข้อมูลภายในรพ.มหาราชนครเชียงใหม่ อัตราการรอดชีวิตที่ 5 ปีของผู้ป่วยที่ตรวจเจอระยะที่ 1 จะอยู่ที่ 82-93 % สามารถผ่าตัดแล้วหาย โดยในผู้ที่มีขนาดมะเร็งไม่เกิน 3 เซนติเมตรสามารถตัดปอดกลีบเล็กได้หากอยู่ในตำแหน่งที่กำหนด ระยะที่ 2 อยู่ที่ 73-80 % ระยะที่ 3 อยู่ที่ 66-70 % และระยะที่ 4 อยู่ที่ราว 47 %
“อัตราการรอดชีวิตในผู้ป่วยมะเร็งปอดระยะที่ 4 ไม่ใช่แค่ตัวโรค แต่เป็นการดูแลจากสิ่งรอบข้างด้วย จากกำลังใจคนไข้ จากคนดูแล และการเข้าถึงยา ส่วนการคัดกรองจะได้ประโยชน์ในการที่ทำให้เจอผู้ป่วยมะเร็งปอดในระยะเริ่มต้นแล้วสามารถรักษาได้จบทันที คนไข้มีโอกาสหายมากกว่า ไม่ต้องมีการรักษาต่อเนื่อง เก็บเนื้อปอดได้มากกว่า ประหยัดค่าใช้จ่ายมากกว่า”รศ.นพ.สมเจริญกล่าว
นวัตกรรมการรักษามะเร็งปอด
ศ.นพ.วิโรจน์ ศรีอุฬารพงศ์ มะเร็งวิทยาสมาคมแห่งประเทศไทยและประธานคณะทำงานมะเร็งปอดเพื่อคนไทย กล่าวว่า การคัดกรองปัจจุบันมักจะดำเนินการในกลุ่มที่มีความเสี่ยง คือ คนที่สูบบุหรี่ ประมาณ 1 ซองต่อวัน ส่วนการคัดกรองในคนที่ไม่สูบบุหรี่ ในบางครั้ง บางประเทศ จะให้มีการคัดกรองคนที่สมาชิกในครอบครัวเป็นมะเร็งปอดด้วย เนื่องจากอาจจะได้รับความเสี่ยงจากสิ่งแวดล้อมที่จะทำให้เป็นมะเร็งปอด ซึ่งไม่ใช่สาเหตุจากพันธุกรรมอย่างเดียว
สำหรับการรักษามะเร็งปอดดีขึ้นเรื่อยๆ กรณีการผ่าตัดที่ใช้เทคโนโลยีการส่องกล้อง ฟื้นตัวเร็ว เสียเนื้อปอดน้อยลง มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับการผ่าเปิดทรวงอก ,การฉายรังสี ใช้รังสีน้อยลง มีความแม่นยำ ประสิทธิภาพเท่ากันแต่ผลข้างเคียงน้อยลง และยามีความก้าวหน้ามากที่สุด เริ่มรู้ว่าเมื่อลงลึกในระดับยีนของเนื้อเยื่อ จะมีความต่างกัน โดยปัจจุบันผู้ป่วยมะเร็งปอดราว 60-70 % จะมียีนที่ผิดปกติในเนื้อมะเร็ง อาจจะมีโอกาสที่จะสามารถรับยามุ่งเป้าได้ โดยในคนเอเชียที่ป่วยมะเร็งปอด จะเจอยีนที่ผิดปกติบ่อยมาก คือ EGFR ประมาณ 40-50 %ของคนที่ไม่สูบบุหรี่และเป็นมะเร็งปอด
“สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) ครอบคลุมสิทธิประโยชน์ในการให้ยามุ่งเป้ากับผู้ป่วยมะเร็ง แต่ก็ยังจำกัดอยู่ที่ยาเจนเนเรชั่นที่ 1 ขณะที่ต่างประเทศไปถึงเจนเนเรชั่นที่ 3 และ 4 แล้ว เนื่องจากยายังมีราคาสูงมาก ซึ่งหากเป็นโรคมากแล้ว ยามุ่งเป้าไม่ได้ทำให้หาย แต่ทำให้อยู่ได้ จะนานเท่าไหร่ขึ้นกับผู้ป่วยแต่ละคน”ศ.นพ.วิโรจน์กล่าว
ควรขยับเพิ่มอัตราพร้อมจ่าย
รศ.นพ.ศรายุทธ ลูเซียน กีเตอร์ สมาคมอุรเวชช์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า หลักฐานเชิงประจักษ์หากแนะนำให้มีการคัดกรองด้วย Low-dose CT scan ในผู้ป่วยอายุ 55-75 ปี สูบบุหรี่มากกว่า 30 ซองต่อปี หยุดไม่เกิน 15 ปี จะสามารถลดอัตราการเสียชีวิตได้ 20 % ซึ่งในคนกลุ่มเสี่ยงที่สามารถจ่ายเงินตรวจคัดกรองได้เองไม่มีปัญหา แต่สำหรับคนที่อยากตรวจแต่ให้รัฐจ่ายเงินจะมีการดำเนินการอย่างไร เป็นสิ่งที่จะต้องพิจารณา
รศ.นพ.ศรายุทธ กล่าวด้วยว่า ยารักษามะเร็งปอดทั่วโลก ที่เป็นระยะแรกมี 11 ตัว มีการขึ้นทะเบียนยาในประเทศไทยแล้ว 10 ตัว อยู่ในบัญชีที่สามารถเบิกค่ายาได้ 5 ตัว คิดเป็น 50 % ส่วนระยะลุกลาม มียา 34 ตัว ขึ้นทะเบียนยาในไทยแล้ว 30 ตัว อยู่ในบัญชีเบิกค่ายาได้ 9 ตัว คิดเป็น 30 %
การจะทำให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาที่ดีขึ้น จะเห็นได้ว่าการเข้าถึงยาประเทศไทยไม่ได้ด้อย แต่ปัญหาอยู่ที่การเบิกจ่ายสำหรับผู้ป่วยคนไทยทั่วไป 48 ล้านคน จึงมีโอกาสที่จะพัฒนาตรงจุดนี้ โดยการพิจารณาตัวเลขจำนวนเงินที่พร้อมจ่ายในการยืด 1 ปีสุขภาวะของผู้ป่วย จากที่กำหนดไว้ในปี 2008 อยู่ที่ 160,000 บาท อาจขยับปรับเพิ่มมากขึ้น 2 เท่าในบางโรคที่มีความหนักหน่วงของโรคมากกว่า
“อยากให้มีการตั้งตัวชี้วัด เพื่อให้เห็นความห่างของการเข้าถึงสิทธิประโยชน์การรักษาระหว่างสิทธิสวัสดิการข้าราชการและสิทธิบัตรทองไม่ห่างมาก แต่ไม่ใช่เป็นการไปตัดสิทธิดึงข้างบนลงมา ควรจะเป็นสนับสนุนเพื่อดึงการเข้าถึงการรักษาของคนไทยทุกคนขึ้นไปใกล้เคียงกันอยู่ข้างบน”รศ.นพ.ศรายุทธกล่าว
สปสช.พร้อมพิจารณาความเหมาะสม
นพ.จักรกริช โง้วศิริ ผู้ทรงคุณวุฒิ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) กล่าวว่า สปสช.ดูแลสิทธิประโยชน์ความจำเป็นของประชาชน ซึ่งเรื่องของโรคมะเร็งปอด ไม่ได้พิจารณาสิ่งที่ดีที่สุดที่อาจจะมีค่าใช้จ่ายมากมายมหาศาล แต่จะพิจารณาสิ่งที่มีความเหมาะสม เพื่อให้คนส่วนใหญ่สามารถเข้าถึงได้ ในส่วนของการคัดกรองด้วย Low-dose CT scanนั้น สปสช.อยู่ระหว่างการศึกษา โดยกลุ่มที่จำเป็นต้องเข้าถึงการตรวจและไม่มีทุนทรัพย์เพียงพอ เป็นเป้าหมายที่อยากให้เกิดขึ้นในระบบ
ส่วนการเข้าถึงยาที่จะบรรจุไว้ในสิทธิประโยชน์หลักประกันสุขภาพแห่งชาตินั้น จะต้องเป็นยาที่อยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ แต่คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(บอร์ดสปสช.)มีการเปิดช่องในกรณีที่ยาไม่ได้อยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ หากมีประสิทธิศักดิ์ดี และราคาไม่แพง ก็สามารถนำเข้าสิทธิประโยชน์ได้







