มติบอร์ดสปสช.จ้าง 'บิ๊กโฟร์' ตรวจสอบการบริหารเงิน 'บัตรทอง 30 บาท'

มติบอร์ดสปสช.จ้าง 'บิ๊กโฟร์' ตรวจสอบการบริหารเงิน 'บัตรทอง 30 บาท'

บอร์ดสปสช.มีมติดึง "บิ๊กโฟร์"4 บริษัทเชี่ยวชาญระดับโลก ตรวจสอบการบริหารเงินบัตรทอง 30 บาท พ่วงทั้งระบบ พร้อมตั้งคกก.ศึกษาต้นทุนและอัตราจ่ายที่เหมาะสมให้รพ.

เมื่อวันที่ 4 มิ.ย.2568 ในการประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) ที่มีนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมวสาธารณสุข (สธ.) และในฐานะประธานคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.)เป็นประธาน มีมติเรื่องการจ้างหน่วยงานภายนอกที่เป็นบริษัทเอกชนระดับโลก หรือกลุ่มบิ๊กโฟร์ เข้ามาตรวจสอบการบริหารจัดการงบประมาณบัตรทอง 30 บาท โดยมอบให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) รับผิดชอบดำเนินการ

นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า การตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ เบื้องต้นจะต้องมีการลงพื้นที่ไปดูสภาพปัญหาของโรงพยาบาลที่มีการขาดทุน เพื่อนำมาประกอบข้อมูล ในการยกร่างระเบียบการจัดซื้อจัดจ้าง บริษัทตรวจสอบเอกชน ชั้นนำจำนวน 4 แห่ง มาตรวจสอบเรื่องนี้อย่างจริงจัง คาดว่าสามารถนำข้อมูลมาประกอบการยกร่างจัดจ้างบริษัทกลุ่ม บิ๊กโฟร์ และดำเนินการจัดจ้างพร้อมตรวจสอบไม่เกิน 3 เดือน และนำเสนอเข้าบอร์ดต่อไป

" ข้อสั่งการในการตรวจสอบของ รมว.สาธารณสุข ก็ต้องการให้มีการตรวจสอบในเรื่องการจัดสรรงบประมาณ รวมถึงการรับงบประมาณของหน่วยบริการ และแนวทางการจัดสรรงบประมาณ"นพ.จเด็จกล่าว 

นอกจากนี้ บอร์ด สปสช. ยังมอบหมายให้ สปสช. ตั้งคณะทำงานลฝพื้นที่ตรวจสอบปัญหาข้อร้องเรียนต่างๆ เช่น การกรอกข้อมูลการเบิกจ่ายที่ไม่ถูกต้อง หรือการใช้บัตรประชาชนมารับบริการอย่างไม่ถูกต้อง ซึ่งทุกปัญหาจะถูกนำมากำหนดขอบเขตการตรวจสอบให้กับบริษัทเอกชนได้ตรวจสอบ และบอร์ด สปสช. ต้องการให้รายงานผลการตรวจสอบภายใน 3 เดือน

บอร์ด สปสช. ยังเห็นชอบในหลักการ และมอบหมายให้ สปสช. ร่วมตั้ง คณะกรรมการศึกษาต้นทุนและอัตราจ่ายที่เหมาะสมให้โรงพยาบาล โดยให้บูรณาการร่วมกันกับสำนักงานประกันสังคม และกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ภายใต้คณะกรรมการพิจารณาค่ารักษาพยาบาลของสวัสดิการรักษาพยาบาลของประเทศไทย (บอร์ดพิจารณาค่ารักษาพยาบาล) ที่มีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.การคลัง เป็นประธาน เพื่อดูต้นทุนค่าบริการในภาพใหญ่ของประเทศ ซึ่งจะไม่ใช่ดูแค่งบประมาณบัตรทอง ที่จัดสรรให้กับโรงพยาบาล แต่จะดูทุกกองทุนสุขภาพ เพื่อให้ทุกหน่วยงานที่ดูแลสวัสดิการด้านการรักษาพยาบาลภาครัฐ ใช้เป็นแนวทางในการชดเชยค่าบริการสาธารณสุข และลดปัญหาโรงพยาบาลขาดทุน

รพ.สธ เงินติดลบเพียง 13 แห่ง

ด้านนายสมศักดิ์ กล่าวว่า ประเด็นเงินบำรุงโรงพยาบาลติดลบ และมีการระบุอ้างถึงสาเหตุมาจากสิทธิประโยชน์ในระบบบัตรทอง 30 บาท ที่บริหารจัดการโดย สปสช. และการจ่ายชดเชยค่าบริการที่ไม่สะท้อนต้นทุนค่าบริการนนั้น จากข้อมูลการเข้ารับบริการผู้ป่วยนอกผู้ใช้สิทธิบัตรทอง 30 บาทในโรงพยาบาลสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สป.สธ.) พบว่ามีประมาณ 304 ล้านครั้ง ขณะที่ สปสช. ได้จ่ายชดเชยค่าบริการไปจำนวน 220 ล้านครั้ง ซึ่งหมายความว่า เงินบำรุงที่เป็นรายได้ของโรงพยาบาล ก็จะมาจากเงินงบประมาณในกองทุนบัตรทอง ประกันสังคม และสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ รวมถึงเงินรายได้จากประชาชนที่มาใช้บริการ 

จากการตรวจสอบข้อมูลเงินบำรุงโรงพยาบาลสังกัด สป.สธ. พบว่ามีโรงพยาบาลที่ขาดทุน และเงินบำรุงติดลบจริงๆ เพียง 13 แห่ง ซึ่งมั่นใจว่า สาเหตุขาดทุน ไม่ใช่จากระบบบัตรทอง 30 บาท แต่อาจมาจากเรื่องอื่น ซี่งกำลังตรวจสอบอยู่ อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าตัวเลขการขาดทุนไม่ได้น่าตกใจ หรือเป็นที่กังวล
 

“โรงพยาบาลทั้ง 13 แห่ง ต้องดูว่ามีสาเหตุอะไรถึงขาดทุน และเราจะมีคณะทำงานลงไปพื้นที่ เพื่อเอาข้อมูลนี้ไปเป็นโจทย์ และเป็นขอบเขตการทำงาน ในการให้บริษัทเอกชนระดับโลก ที่จะเข้ามาตรวจสอบการบริหารจัดการงบประมาณบัตรทอง 30 บาทได้ตรวจสอบเพื่อให้ครอบคลุม เพื่อชี้ให้เห็นด้วยว่า มีบริการใดที่เป็นประโยชน์อยู่บ้าง และสิทธิประโยชน์ใดที่ควรถูกลด ซึ่งนโยบายลดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ด้วยการนับคาร์บ ก็ต้องถูกตรวจสอบด้วยเช่นกันว่าได้เกิดประโยชน์และเหมาะสมกับการใช้งบประมาณหรือไม่ รวมถึงมีผลอย่างไรต่อระบบสุขภาพของประเทศโดยรวม” นายสมศักดิ์ กล่าว

มติบอร์ดสปสช.จ้าง 'บิ๊กโฟร์' ตรวจสอบการบริหารเงิน 'บัตรทอง 30 บาท'

สธ.บริหารได้ตามเงินบำรุงที่มีอยู่

นพ.มณเฑียร คณาสวัสดิ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า สถานะเงินบำรุงโรงพยาบาลสังกัด สป.สธ. พบว่ามีอยู่ประมาณ 4.6 หมื่นล้านบาท เป็นเงินสุทธิหลังหักหนี้สิน หากเทียบในช่วงก่อนสถานการณ์โควิด – 19 ที่โรงพยาบาลมีเงินบำรุงรวมกันประมาณ 6,000 ล้านบาท  และปัจจุบันสถานะเงินบำรุงของโรงพยาบาลก็มากกว่าอย่างมาก

หากเทียบกับสถานการณ์เงินบำรุงในช่วงปี 2565 – 2566 กับปัจจุบัน ก็จะพบว่าขณะนี้มีแนวโน้มที่เงินบำรุงโรงพยาบาลจะลดลง แต่ทั้งนี้ ในส่วนโรงพยาบาลที่มีปัญหาขาดทุน ก็จะมีทีมงานลงไปตรวจสอบเพื่อหาทางแก้ปัญหาต่อไป
ทั้งนี้ สธ. สามารถบริหารจัดการได้กับเงินบำรุงที่มีอยู่ในขณะนี้ และคงไม่มีปัญหาอะไร และไม่มีผลกระทบต่อการดูแลรักษาประชาชน แต่ในส่วนโรงพยาบาลที่ขาดทุน 13 แห่ง คาดว่ามีหลายสาเหตุที่ปะปนกัน ต้องตรวจสอบและเข้าไปช่วยแก้ไขปัญหา

สถานะเงินบำรุงรพ.สธ.มั่งคั่ง

ขณะที่ นพ.วิชัย โชควิวัฒน กรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า มีโรงพยาบาลขาดทุนเพียง 13 แห่ง ซึ่งผ่านการตรวจสอบที่ครบถ้วนแล้ว รวมถึงรวมรายได้ที่เรียกเก็บชดเชยจากทั้ง 3 กองทุนสุขภาพแล้ว และเงินบำรุงสุทธิในภาพรวมก็ยังเหลือกว่า 4.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งหากเทียบกับช่วงแรกของการก่อตั้งระบบบัตรทอง 30 บาท เงินบำรุงโรงพยาบาลมีอยู่หลักพันล้านบาท และในช่วงโควิด-19 ขยับขึ้นสูงไปถึง 9 หมื่นล้านบาทและนำไปพัฒนายกระดับโรงพยาบาล ซึ่งเงินบำรุงก็ยังเหลืออยู่ประมาณ 4.6 หมื่นล้านบาท
 

"สถานะรพ.อาจเรียกว่ามั่นคงอย่างเดียวไม่ได้ คงต้องเรียกว่ามั่งคั่งด้วย ซึ่งนับตั้งแต่ นายสมศักดิ์ มาเป็น รมว.สาธารณสุข ก็สร้างความมั่นคง และมั่งคั่งให้กับ สป.สธ.ได้อย่างดีมาก” นพ.วิชัย กล่าว
 

นพ.วิชัย กล่าวด้วยว่า ระบบัตรทอง 30 บาท จะจ่ายชดเชยในอัตราค่าบริการที่ต่ำสุดหากเทียบกับอีกสองระบบ คือ ระบบประกันสังคม และสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ แต่ระบบัตรทองต้องดูแลประชากรจำนวนมากกว่า ก็จะมีอัตราการเข้ารับบริการจำนวนมาก ซึ่งต้องยอมรับว่า อัตตราการจ่ายชดเชยค่าบริการนั้น โรงพยาบาลเองก็ต้องการให้จ่ายชดเชยในอัตราเดียวกันกับสิทธิประกันสังคม และสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ

อนึ่ง  บริษัทบิ๊กโฟร์ในการตรวจสอบบัญชีระดับโลกที่มีบริษัทลูกในไทย ประกอบด้วย
  1. บริษัท PricewaterhouseCoopers (PwC)
 2. บริษัท EY 
3. บริษัท Deloitte Touche Tohmatsu (Deloitte)
4. บริษัท KPMG