แบกภาระค่าบุหรี่สูงถึง 60% ของรายได้ หวั่นบุหรี่ไฟฟ้าระบาด

แบกภาระค่าบุหรี่สูงถึง 60% ของรายได้ หวั่นบุหรี่ไฟฟ้าระบาด

ไทยลดสูบบุหรี่ลง 48.4% ในรอบ 33 ปี ภาคเหนือแชมป์ลดสูงสุด ภาคใต้ลดต่ำสุด ชี้คนจนแบกภาระค่าบุหรี่สูงถึง 60% ของรายได้ หวั่นบุหรี่ไฟฟ้าระบาดในเด็ก-เยาวชน ผุด “ทอยพอด-นิโคตินเพาช์” สร้างวิกฤตสุขภาพ

ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ ประธานมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ กล่าวว่า เนื่องใน วันงดสูบบุหรี่โลก 31 พ.ค. นี้ องค์การอนามัยโลกกำหนดคำขวัญ กระชากหน้ากาก ธุรกิจบุหรี่ บุหรี่ไฟฟ้า : นิโคติน เสพติด จน ตาย ถือเป็นการตอกย้ำข้อเท็จจริง อันตรายของบุหรี่ บุหรี่ไฟฟ้า จากผลสำรวจพฤติกรรมการบริโภคยาสูบแบบมีควันของประชากรไทย ปี 2534-2567 พบว่า ไทยสามารถลดอัตราการสูบบุหรี่จาก 32% ในปี 2534 เหลือเพียง 16.5% ในปี 2567 คิดเป็นอัตราการลดลงสูงถึง 48.4% โดยเฉพาะในภาคเหนือ มีการสูบบุหรี่ลดลงมากที่สุดถึง 58.3% ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดี ขณะที่ภาคใต้ลดลง 29.1% ต่ำที่สุดในทุกภูมิภาค 

ในกลุ่มประชากรสูบบุหรี่ ที่มีรายได้น้อย 1,043-6,532 บาทต่อเดือน ต้องใช้จ่ายเงินเป็นค่าบุหรี่ซองแต่ละเดือนเฉลี่ย 748 บาท ยาเส้น 127 บาท และบุหรี่ไฟฟ้า 718 บาท เฉพาะกลุ่มคนรายได้น้อยที่สุด มีสัดส่วนค่าบุหรี่สูงถึง 60% ของรายได้ และยังต้องแบกรับค่าใช้จ่ายอื่นที่จำเป็นต่อครอบครัว ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสถานะทางการเงินของครัวเรือน สุขภาพ ที่สำคัญคือผลกระทบต่อโอกาสทางการศึกษาของบุตรหลาน

แบกภาระค่าบุหรี่สูงถึง 60% ของรายได้ หวั่นบุหรี่ไฟฟ้าระบาด

ขณะนี้มูลนิธิฯ ได้พัฒนาระบบการเก็บข้อมูลสถานการณ์การสูบบุหรี่ในพื้นที่ผ่านแอปพลิเคชัน “TUM (Tobacco Use Monitor)” เป็นเครื่องมือที่ช่วยรวบรวมข้อมูลเชิงพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถนำไปใช้วางแผนพัฒนาการดำเนินงานควบคุมยาสูบในระดับท้องถิ่นได้อย่างตรงจุด และมีแผนสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับทุกภาคส่วน โดยเฉพาะการส่งเสริมบทบาทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ผ่านกลไกร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ เพื่อขับเคลื่อนมาตรการควบคุมยาสูบอย่างเป็นระบบและยั่งยืนในระดับพื้นที่ และทำคู่ขนานกับการรณรงค์สังคม โดยสนับสนุนส่งเสริมความตระหนักรู้เกี่ยวกับอันตรายจากการสูบบุหรี่ในรูปแบบต่าง ๆ

แบกภาระค่าบุหรี่สูงถึง 60% ของรายได้ หวั่นบุหรี่ไฟฟ้าระบาด

ผศ.ดร.ลักขณา เติมศิริกุลชัย ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาศักยภาพกำลังคนด้านการควบคุมยาสูบ และกรรมการบริหารแผน คณะที่ 3 สสส. กล่าวว่า สถานการณ์การใช้บุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มเด็กและเยาวชนไทยมีความรุนแรงขึ้นอย่างน่าห่วง ผลิตภัณฑ์บุหรี่ไฟฟ้าพัฒนาให้มีรูปลักษณ์หลากหลายมากขึ้น มีกลิ่นและรสชาติม ากกว่า 18,000 กลิ่น และราคาถูก เพื่อดึงดูดกลุ่มเป้าหมายโดยเฉพาะเด็กและเยาวชน

ปัจจุบันบุหรี่ไฟฟ้ามีการพัฒนาถึง 5 Gen โดยล่าสุดคือ “ทอยพอด” (Toy Pod) ออกแบบให้มีลักษณะเหมือนของเล่น ตุ๊กตา สมาร์ตวอช ทำให้ยากต่อการสังเกต และ “นิโคตินเพาช์” (Nicotine Pouch) หรือนิโคตินถุง รวมทั้งพอดจมูก หรือบุหรี่ไฟฟ้าในรูปแบบยาดม` แม้จะไม่มีควันและไม่มีกลิ่น แต่มีปริมาณนิโคตินสูงกว่าบุหรี่ธรรมดาหลายเท่า

“ที่น่ากังวลคือผลกระทบทางสุขภาพที่รุนแรงและเกิดขึ้นเร็ว โดยมีรายงานเด็กปอดรั่ว-ปอดอักเสบจากการสูบบุหรี่ไฟฟ้าในวัยเพียง12-14 ปี และยังพบเด็กเล็กวัยเพียง 1 ขวบ 7 เดือน ที่สูบบุหรี่และดื่มน้ำกระท่อมภายในครอบครัว เป็นสัญญาณเตือนถึงความจำเป็นในการเพิ่มมาตรการควบคุมและป้องกันการเข้าถึงบุหรี่ไฟฟ้าอย่างเร่งด่วน”ผศ.ดร.ลักขณา กล่าว

จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะในระดับท้องถิ่นที่มีความใกล้ชิดกับชุมชม โดย อปท. ถือเป็นกลไกสำคัญที่อยู่ใกล้ชิดกับประชาชนมากที่สุด ทั้งนี้เรามีองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) 76 แห่ง เทศบาล 2,472 แห่ง และองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) กว่า 5,300 แห่งทั่วประเทศ ดังนั้น อปท.จะมีบทบาทสำคัญ ในการขับเคลื่อนนโยบายควบคุมยาสูบอย่างยั่งยืน