โควิด -19 กรมควบคุมโรคเผยยอดพุ่งตามฤดูกาล ความรุนแรงไม่ได้เพิ่ม

เปิดเทอม หน้าฝน กรมควบคุมโรคเตือน 3 โรคทางเดินหายใจ ย้ำโควิด-19 เชื้อไม่ได้ก่ออาการรุนแรงขึ้น อัตราป่วยตายร้อยละ 0.2 แต่จะเพิ่มยอดป่วยพุ่งในช่วงฤดูกาล
เมื่อวันที่ 28 พ.ค.2568 ที่กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นพ.วีรวัฒน์ มโนสุทธิ และ พญ.จุไร วงศ์สวัสดิ์ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิและโฆษกกรมควบคุมโรค ร่วมกันแถลงข่าว "พฤษภาคม เปิดเทอมใหม่ปลอดภัย ใส่ใจสุขภาพหน้าฝน" โดยโรคติดเชื้อทางระบบหายใจที่สำคัญ ได้แก่ โรคโควิด-19 ในปี 2568 พบผู้ป่วยสะสม 221,186 ราย เสียชีวิต 52 ราย อัตราป่วยตายร้อยละ 0.02 จึงอยากให้ประชาชนตระหนักแต่ไม่ให้ตระหนก เพราะโควิด-19 เป็นเชื้อประจำถิ่น ที่พบผู้ป่วยได้มากในช่วงฤดูฝน และหนาว เหมือนกับโรคไข้หวัดใหญ่ หรือโรคอาร์เอสวี (RSV)
10 จังหวัดที่พบผู้ป่วยสูงสุด คือ ระยอง, กรุงเทพมหานคร, ชลบุรี, ภูเก็ต, นนทบุรี, ปทุมธานี, นครปฐม, สมุทรปราการ, ตราด และประจวบคีรีขันธ์ ขณะเดียวกัน อัตราการป่วยพบมากที่สุดในเด็กอายุ 0-4 ปี และเสียชีวิตมากในกลุ่มผู้สูงอายุ อายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป และสายพันธุ์โควิด-19 ที่พบมากที่สุดในตอนนี้คือ JN.1 ร้อยละ 63.92 โดยพบสายพันธุ์ XEC ลดลง ซึ่งต้องติดตามระยะต่อไป
ตั้งแต่ 1 ต.ค.2566 กรมควบคุมโรคได้เปลี่ยนสถานะของโรคโควิด-19 จากโรคติดต่ออันตรายเป็นโรคเฝ้าระวัง และในปี 2566 และ 2567 ก็ยังคงมีโรคโควิด-19 ระบาดอยู่ แต่จำนวนผู้ป่วยและอัตราการเสียชีวิตลดลงเมื่อเทียบกับช่วงที่โควิดระบาดใหม่ๆ และหลังสงกรานต์ 2568 มีจำวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นชัดเจน โดยเริ่มสูงกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา
“ดูจากข้อมูลอัตราการป่วยเสียชีวิตอยู่ที่ราวร้อยละ 0.2 แสดงว่าเชื้อไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนทำให้อาการรุนแรงขึ้น จึงอยากให้ประชาชนตระหนักแต่ไม่ตระหนก เพราะไวรัสมีการปรับเปลี่ยนให้ความรุนแรงลดลง เปรียบเหมือนเป็นโรคประจำถิ่น แต่ก็จะมีผู้ป่วยจำนวนมากขึ้นได้ในช่วงฤดูกาลฝนหรือหนาว เหมือนเชื้อก่อโรคระบบทางเดินหายใจอื่นๆ”พญ.จุไรกล่าว
2.โรคไข้หวัดใหญ่ พบผู้ป่วยสะสม 343,721 ราย เสียชีวิตสะสม 45 ราย อัตราป่วยตายร้อยละ 0.013 แนวโน้มผู้ป่วยลดลงแต่ยังสูงกว่าค่ามัธยฐาน 5 ปีย้อนหลัง พบผู้ป่วยมากที่สุดในกลุ่มอายุ 5-9 ปี และเสียชีวิตมากในกลุ่มผู้อายุมากว่า 60 ปีขึ้นไป จึงต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ และ สายพันธุ์ที่ตรวจพบมากที่สุดจะเป็น A/H1N1 ร้อยละ 46.55
3.โรคติดเชื้อทางเดินหายใจอักเสบเฉียบพลัน(ปอดอักเสบ) พบผู้ป่วยสะสม 189,424 ราย ผู้เสียชีวิต 276 ราย อัตราป่วยตายร้อยละ 0.146 สถานการณ์ผู้ป่วยแนวโน้มลดลง แต่ยังสูงกว่าปี 2567 และสูงกว่าค่ามัธยฐาน 5 ปีย้อนหลัง พบผู้ป่วยมากที่สุดในกลุ่มอายุ 0-4 ปี และผู้เสียชีวิตยังคงเป็นกลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไป
สำหรับการป้องกันและดูแลตัวเองจากโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจคือสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือด้วยแอลกอฮอล์ หากเป็นกลุ่มเสี่ยงก็ให้ลดการเข้าพื้นที่เสี่ยง เช่น ห้างสรรพสินค้า คอนเสิร์ต สถานที่ที่มีการรวมคนจำนวนมาก น่าจะต้องไปก็ให้สวมหน้ากากอนามัยป้องกัน แล้วขอให้กลุ่มเสี่ยงเข้ารับวัคซีนป้องกันโรค ขณะที่สถานศึกษาจะต้องมีมาตรการให้นักเรียนที่ป่วยพักอยู่บ้าน เพื่อลดการแพร่เชื้อ แล้วถ้าพบว่ามีนักเรียนป่วยมากกว่า 2 รายต่อสัปดาห์ให้แจ้งกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด
ขณะที่โรคอื่นๆที่ต้องระวัง ได้แก่ 1.โรคไข้เลือดออก ปี 2568 พบผู้ป่วยต่ำกว่าปีที่ผ่านมา 2.9 เท่า โดยมีผู้ป่วยสะสม 11,198 ราย ผู้เสียชีวิต 14 ราย แต่ยังพบผู้ป่วยสูงทางภาคใต้และอัตราป่วยตายสะสมสูง ผู้ป่วยส่วนใหญ่ยังคงเป็นกลุ่มวัยเรียน และอัตราป่วยตายพบมากในกลุ่มอายุ 55 ปีขึ้นไป มาตรการเปิดเทอมปลอดภัยห่างไกลไข้เลือดออก จะต้องทำความสะอาดห้องเรียนไม่ให้มีมุมมืด สำรวจและกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำยุงลายและปรับปรุงสิ่งแวดล้อมในโรงเรียน นอกจากนั้นต้องเพิ่มมาตรการป้องกันด้วยการทายากันยุง
2.โรคไข้หวัดนก ยังคงต้องเฝ้าระวังเนื่องจากมีสัญญาณบ่งบอกการปรับตัวของเชื้อไวรัสที่อาจมาใกล้กับคนมากขึ้น เนื่องจากพบรายงานในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม อย่างเช่นที่พบในฟาร์มโคนม ประเทศสหรัฐอเมริกา นอกจากนั้นยังมีรายงานผู้ป่วยในต่างประเทศ เช่น กัมพูชา ในปี 2566-2567 มีผู้ป่วยสะสม 16 ราย เสียชีวิต 6 ราย ในปี 2568 มีผู้ป่วย 3 ราย โดยอัตราการป่วยตายของโรคไข้หวัดนกสูงถึงร้อยละ 50 ซึ่งสูงกว่าโรคไข้หวัดใหญ่ จึงต้องเฝ้าระวัง เพราะถ้า 2 ไวรัสนี้ มีการแลกเปลี่ยนยีนกันขึ้นมา ก็อาจจะเกิดการระบาดใหญ่ของโรคไข้หวัดใหญ่ได้
3.โรคเอนแทรกซ์ พบรายงานผู้ป่วยรายที่ 5 เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคมที่ผ่านมา เป็นผู้ป่วยชายอายุ 55 ปี มีประวัติการสัมผัสโรคจากการชำแหละเนื้อหมูเมื่อวันที่ 19 เมษายน ร่วมกับผู้ป่วยยืนยันรายที่ 1 และ 2 ซึ่งโดนมีดบาดนิ้วชี้ นิ้วกลางข้างซ้าย เมื่อช่วงปลายเดือนเมษายนเริ่มมีอาการป่วย แต่เดินทางไปอยู่ที่ต่างประเทศ และได้กลับมาพบแพทย์ใน จ.มุกดาหาร เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม ดังนั้นผู้ป่วยรายนี้ก็ยังเป็นกลุ่มเดียวกันกับ 4 รายแรก ไม่ใช่การระบาดวงใหม่
ทั้งนี้ ข้อมูลย้อนหลังปี 2534-2543 มีผู้ป่วยสะสม 102 ราย เสียชีวิต 19 ราย คิดเป็นร้อยละ 20 จากนั้นในปี 2560 พบผู้ป่วย 2 รายที่ จ.ตาก มีประวัติสัมผัสแพะ และในปี 2568 มีผู้ป่วยสะสม 5 ราย เสียชีวิต 1 ราย
ขอให้ประชาชนเลือกซื้อเนื้อสัตว์ที่ระบุแหล่งที่มาได้ หรือมาจากโรงฆ่าสัตว์ที่ได้มาตรฐาน หลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์ตายเฉียบพลัน หรือไม่ทราบสาเหตุ หากพบเห็นสัตว์ตายไม่ทราบสาเหตุให้แจ้งเจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ในพื้นที่ หากมีแผลที่ผิวหนังคล้ายบุหรี่จี้ หรือมีอาการป่วยให้รีบพบแพทย์ และขอให้งดการกินเนื้อสัตว์ดิบ และล้างมือหลังจากหั่นเนื้อสัตว์ พื้นที่ระบาดต้องเฝ้าระวัง 60 วัน เป็นต้น
4.โรคเมลิออยโดสิส (โรคไข้ดิน) เกิดจากเชื้อแบคทีเรียในน้ำและดินธรรมชาติ สัมผัสได้จากผิวหนัง การรับประทาน และระบบหายใจ โดยกลุ่มเสี่ยงจะเป็นผู้ป่วยเบาหวาน โรคธาลัสซีเมีย และโรคพิษสุราเรื้อรัง โดยข้อมูลผู้ป่วยปี 2568 พบแล้ว 1,050 รายเสียชีวิต 33 ราย อัตราป่วยตายร้อยละ 3.1 ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นเพศชายมากกว่าหญิง และอาชีพที่พบผู้ป่วยมาก คือ เกษตรกรรม งานบ้านรับจ้าง โดยจังหวัดที่พบสูงสุดเมื่อเทียบกับประชากรแสนคน คือ มุกดาหาร ยโสธร นครพนมและบึงกาฬ
5.โรคไข้ฉี่หนู เป็นโรคติดต่อจากสัตว์สู่คน ด้วยการรับเชื้อจากปัสสาวะเข้าสู่ร่างกาย ระยะฟักตัวของโรค 2-30 วัน ส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นภายใน 5-14 วันหลังจากลุยน้ำย่ำโคลน อาการสำคัญคือ มีไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดตามตัว ไปจนถึงอาการตัวเหลือง ตาเหลือง ข้อมูลผู้ป่วยสะสมในปี 2568 อยู่ที่ 1,261 ราย เสียชีวิต 15 ราย อัตราป่วยตายร้อยละ 1.19 ถือว่าแนวโน้มผู้ป่วยคงที่แต่ยังสูงกว่าปีก่อนหน้าและสูงกว่าค่ามัธยฐาน 5 ปีย้อนหลัง กลุ่มผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตมากที่สุดคือ อายุ 60 ปีขึ้นไป โดยกลุ่มอาชีพเสี่ยงคือ รับจ้าง ทำนา การเกษตร
คำแนะนำผู้ป่วยโรคไข้ดินและไข้ฉี่หนู คือเฃี่ยงการย่ำน้ำ ย่ำโคลน โดยการสวมรองเท้าบูท สวมถุงมือยาง และถ้ามีอาการป่วยให้รีบไปพบแพทย์







