บอร์ดสปสช. เห็นชอบ 'วิธีกรองพลาสมา' รักษา 'ผู้ป่วยไทรอยด์'

บอร์ดสปสช. เห็นชอบ 'วิธีกรองพลาสมา' รักษา 'ผู้ป่วยไทรอยด์'

บอร์ดสปสช. เห็นชอบ เพิ่มทางเลือกการรักษา  “ผู้ป่วยไทรอยด์เป็นพิษรุนแรง” ด้วย “วิธีกรองพลาสมา” เริ่มตั้งแต่ปีงบ 68 คาดการณ์ปี 69 ผู้ป่วยมีจำนวน 170 ราย

เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2568   นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(รมว.สธ.) ในฐานะประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(บอร์ดสปสช.) กล่าวว่า ที่ประชุมมีมติเห็นชอบ สิทธิประโยชน์การรักษาคนไข้ต่อมไทรอยด์ทำงานมากเกินไป (Hyperthyroidism) ที่มีภาวะไทรอยด์เป็นพิษรุนแรงด้วยวิธีการกรองพลาสมา (Plasmapheresis) เพื่อเป็นหนึ่งในทางเลือกการรักษาให้กับผู้ป่วยสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท) ตามข้อเสนอของสมาคมต่อมไร้ท่อแห่งประเทศไทย

บอร์ด สปสช. ได้พิจารณาและเห็นชอบ สิทธิประโยชน์การรักษาคนไข้ต่อมไทรอยด์ทำงานมากเกินไปที่มีภาวะไทรอยด์เป็นพิษรุนแรง (Thyroid crisis) และไม่ตอบสองต่อการใช้ยารักษาด้วยวิธีการกรองพลาสมา”ให้เริ่มดำเนินการในปีงบประมาณ 2568 เบิกจ่ายจากงบผู้ป่วยในตามกลุ่มวินิจฉัยโรคร่วม (Diagnosis Related Groups : DRGs) เนื่องจากมีผลกระทบต่อภาระงบประมาณไม่มาก โดยที่ประชุมฯ ได้เห็นชอบหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการจ่ายสำหรับบริการฯ แล้ว

นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ยังได้มอบสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ประสานสมาคมต่อมไร้ท่อแห่งประเทศไทย เรื่องแนวทางเวชปฏิบัติการทำวิธีการกรองพลาสมาในการรักษาคนไข้ต่อมไทรอยด์ทำงานมากเกินไป และประสานกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เพื่อเตรียมความพร้อมในการให้บริการ  

ด้าน นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า ข้อเสนอสิทธิประโยชน์นี้ ทางสมาคมต่อมไร้ท่อได้เสนอเพื่อเพิ่มการรักษาให้กับผู้ป่วย โดยสปสช.ได้นำเข้าสู่โครงการพัฒนาชุดสิทธิประโยชน์ภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ ยูซีบีพี (UCBP) 

จากฐานข้อมูล  E-Claim สปสช. ปี 2567 มีผู้ป่วยต่อมไทรอยด์ทำงานมากเกินไปจำนวน 33,319 คน มีเพียงจำนวน 33 คน ที่ต้องรักษาด้วยวิธีการกรองพลาสมา และในจำนวนผู้ป่วยมีภาวะไทรอยด์เป็นพิษรุนแรงจำนวน 1,719 คน มีเพียง 20 คน ที่ต้องรักษาด้วยวิธีการกรองพลาสมา

“การรักษาวิธีนี้จะให้การดูแลเฉพาะผู้ป่วยที่มีข้อบ่งชี้ คือผู้ป่วยไทรอยด์เป็นพิษรุนแรงที่มีข้อห้ามในการใช้ยาต้านไทรอยด์ หรือไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยา และเพื่อการเตรียมความพร้อมผู้ป่วยไทรอยด์เป็นพิษรุนแรงก่อนการรักษาด้วยการผ่าตัดต่อมไทรอยด์ โดยการให้บริการจะต้องดำเนินการภายใต้การดูแลของแพทย์เฉพาะทางและบุคลากรที่ผ่านการฝึกอบรม ซึ่งเป็นบริการเฉพาะในโรงพยาบาลตติยภูมิและโรงพยาบาลเอกชน”นพ.จเด็จกล่าว

จากการคำนวณด้วยค่า DRGs เฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 25,000 บาทต่อราย โดยปีงบประมาณ 2568 ในช่วงเวลาที่เหลือคาดว่าจะมีผู้ป่วยจำนวน 70 ราย และปี 2569 คาดการณ์ผู้ป่วยมีจำนวน 170 ราย ซึ่งจากข้อมูลนี้สะท้อนถึงภาระงบประมาณที่ไม่มาก แต่ทำให้ผู้ป่วยที่จำเป็นต้องรับการรักษาด้วยวิธีนี้สามารถเข้าถึงได้

“ต่อมไทรอยด์มีหน้าที่ในสร้างฮอร์โมนไทรอยด์ที่มีความสำคัญต่อการทำงานของอวัยวะทุกส่วน ช่วยให้ร่างกายมีความสมดุล แต่หากต่อมไทรอยด์ทำงานมากจนเกินปกติ สร้างฮอร์โมนไทรอยด์มากกว่าที่ร่างกายต้องการ ก็จะส่งผลเสียต่อสุขภาพที่ร้ายแรงได้ ซึ่งผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการรักษา และเข้าถึงวิธีการรักษาที่จำเป็นในกรณีที่ไม่สามารถรักษาได้ด้วยยา”นพ.จเด็จ กล่าว