ภาคเอกชนแนะ 'บัตรทอง 30 บาท' ควรเปิดคนกลุ่มเหนือเส้นจน 'ร่วมจ่าย'

ภาคเอกชนสะท้อน“บัตรทอง 30 บาท” งบฯไม่เพิ่มขึ้นตามค่าเสื่อมทางการแพทย์-รพ.รับค่าบริการต่ำกว่าต้นทุน แนะรื้อใหม่ เปิดให้กลุ่มคนเหนือเส้นความจน “ร่วมจ่าย”
KEY
POINTS
- ภาคเอกชนชี้รพ.เอกชนเข้าร่วมบริการปฐมภูมิ "บัตรทอง 30 บาท" กรุงเทพ มี 5 แห่งเป็นสถานพยาบาลขนาดไม่ใหญ่ รักษาทั่วไป
- ภาคเอกชนสะท้อน“บัตรทอง 30 บาท” งบประมาณไม่เพิ่มขึ้นตามค่าเสื่อมทางการแพทย์-รพ.รับค่าบริการต่ำกว่าต้นทุน อยู่ร่วมระบบยาก
- บัตรทอง 30 บาท แนะรื้อใหม่ เปิดให้กลุ่มคนเหนือเส้นความจน “ร่วมจ่าย” -จัดระบบบริการให้ถูกต้องตามระดับหน่วยบริการ
แหล่งข่าวในแวดวงสถานพยาบาลเอกชน ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ รพ.เอกชน 5 แห่ง เข้าร่วมดูแลผู้ป่วยสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือบัตรทอง 30 บาท ในพื้นที่กรุงเทพมหานครว่า ภาคเอกเชนที่เข้าร่วมจากที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.)ประกาศ 5 แห่งนั้น เป็นรพ.ขนาดไม่ใหญ่จากเจ้าเดียวกัน ส่วนรพ.เอกชนใหญ่ๆ ที่หัตถการมากจะไม่ได้เข้าไปร่ อยู่รวม จะมีเฉพาะรพ.มงกุฏวัฒนะของพลตรี นพ.เหรียญทอง แน่นหนาอยู่แห่งเดียว
“ประสบการณ์จากที่เคยเป็น บอร์ดสปสช.นั้น ช่วงแรกที่มี 30บาท รพ.เอกชนเข้าร่วมให้บริการจำนวนมาก ตอนหลังก็ออกกันมาเกือบหมด และภาคเอกชนที่ร่วมให้บริการพยาบาลปฐมภูมิปัจจุบันไม่ใช่รพ.แต่เป็นคลินิกชุมชนอบอุ่น เพราะฉะนั้นหน่วยบริการที่เข้าร่วมจะเป็นที่ให้บริการรักษาโรคทั่วไป”แหล่งข่าวกล่าว
สิ่งที่ส่วนตัวเห็นและมองว่าจะเป็นปัญหาตลอดไป จากที่ได้มีการยกเลิกหลักการสำคัญ เรื่องของการร่วมจ่าย เดิมอยู่ที่ 30 บาทเมื่อเข้ารักษา ซึ่งเงินของกองทุนประกันสุขภาพแห่งชาติหรือบั ตรทอง 30 บาท มาจากงบประมาณภาษีประชาชน และไม่ได้ขึ้นตลอดตามค่าเสื่อมทางการแพทย์ (medical inflation)ที่อยู่ที่ 10-15 % เมื่อเป็นเช่นนี้รพ.จึงต้องรับเงินค่าบริการในอัตราที่น้อยกว่าต้นทุน ทำให้ไม่สามารถอยู่ร่วมในระบบได้ อย่างรพ.สังกัดกระทรวงสาธารณสุข(สธ.)เงินบำรุงรพ.ก็หมด
“หลักที่ถูกต้องควรคำนึงถึงเรื่องหลักการร่วมจ่ายด้วย แต่ก็ลำบากเพราะอาจจะทำให้มุมมองทางการเมืองไม่ชอบ แต่ตอนนี้ฝั่งผู้ให้บริการนั้นขาดทุน เบิกได้ไม่กี่เปอร์เซ็นต์ เมื่อฝั่งผู้ใช้บริการเข้ามาจำนวนมาก ก็ทำให้รพ.ยิ่งขาดทุน” แหล่งข่าวกล่าว
แหล่งข่าว กล่าวด้วยว่า ลักษณะของการร่วมจ่ายขึ้นกับมุมมอง เช่น ประเทศไทยอาจดูจากเส้นความจนที่มีการวัดทุกปี คนที่อยู่ต่ำกว่าเส้นความจนที่มีอยู่ราว 10 กว่าล้านคน ไม่ต้องร่วมจ่าย แต่คนที่อยู่เหนือเส้นความจนต้องร่วมจ่าย
อาจจะนำระบบของประเทศญี่ปุ่นมาใช้ก็ได้ คือ ผู้ป่วยนอก(OPD) 30 % ผู้ป่วยใน(IPD) 10 % ตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น หรืออาจจะใช้รูปแบบอื่นโดยคิดให้รพ.ที่ร่วมให้บริการไม่เข้าเนื้อ ปัจจุบัน แม้แต่ในส่วนของประกันสุขภาพภาคเอกชนยังกำหนดให้ต้องร่วมจ่ายหรือCo-Payment
“การร่วมจ่ายส่วนหนึ่งเป็นการเบรกให้คนตระหนักเรื่องการเข้ารับการรักษาเมื่อจำเป็น อย่างคนที่อยู่เหนือเส้นความจนที่ควรต้องร่วมจ่าย คนนึงไปใช้บริการ 5 ครั้ง อีกคนใช้ 50 ครั้ง แบบนี้ควรร่วมจ่ายหรือไม่เมื่อมีการใช้เกินกว่าความเป็นจริง ก็แฟร์อยู่แล้ว หรือถ้าเป็นผู้ป่วยใน ค่ารักษาพยาบาลราว 20,000 บาท ร่วมจ่าย 2,000 บาทก็ตรงไปตรงมาขึ้นกับโรคหนักโรคเบา”แหล่งข่าวกล่าว
นอกจากนี้ ต้องจัดระบบบริการที่ถูกต้อง อาทิ การผ่าตัดไส้ติ่ง คลอดบุตรอยู่ที่รพ.ชุมชนได้หรือไม่ จะได้ไม่ไหลเข้ามารพ.ใหญ่ จะได้ให้บริการในการผ่าตัดใหญ่ เช่น ผ่าตัดหัวใจ เป็นต้น จะได้ไม่เกิดการกระจุกตัวอยู่เฉพาะรพ.ใหญ่ ดังนั้น มาตรฐานของรพ.แต่ละจุดจะต้องมีการกำหนดว่า 25 รายการผ่าตัดแบบนี้ อยู่รพ.นี้ ถ้าเกินกว่ารายการที่กำหนดก็ออกใบส่งตัวไปผ่าตัดรพ.ที่ใหญ่ขึ้น เป็นการจัดระบบไม่ให้ไปกระจุกตัวที่ใดที่หนึ่ง
ส่วนโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล(รพ.สต.)ที่ย้ายไปอยู่กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สังกัดกระทรวงมหาดไทย(มท.) เป็นไพรมารี ดอกเตอร์ และทำเทเลเมดิซีนกับรพ.ชุมชน ส่วนอสม.ก็ไปดูคนไข้ติดบ้าน ติดเตียงที่อยู่บ้าน หากดำเนินการได้เช่นนี้ระบบก็จะนิ่ง ไม่เคลื่อน
“สภาพของผู้ให้บริการตอนนี้กรอบเต็มที คนลาออก งานก็มาก สุดท้ายอันไหนจะพังก่อนกันก็ไม่รู้ ตอนนี้เหมือนอยู่กลางเขาควาย แล้วจะรอให้รพ.พังไปก่อนหรือไม่ ก็ไม่อยากให้เกิดเช่นนี้ เพราะสุดท้ายประชาชนลำบาก ซึ่งถ้ามองที่ประชาชนจริงๆ จะต้องยกระดับขึ้นมาแล้วปรับปรุงให้ใช่และเหมาะสมกับประเทศไทย โดยใช้เงินให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ”แหล่งข่าวกล่าว
ถามว่าการที่แพทย์ลาออกเพราะเป็นการดึงตัวจากรพ.เอกชน แหล่งข่าว กล่าวว่า แพทย์ที่ลาออกซึ่งไม่ได้เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ไม่ได้เข้าทำงานในรพ.เอกชน เพราะรพ.เอกชนจะรับเฉพาะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ส่วนใหญ่จะไปทำคลินิกเสริมความงามและหาทุนไปเรียนต่อเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
ผู้สื่อข่าวถามว่ามองระบบสุขภาพไทยจะล้มละลายหรือไม่ แหล่งข่าว กล่าวว่า ในส่วนของสวัสดิการข้าราชการ จะโป่งมากที่ผู้ป่วยนอก จำนวน 1 แสนกว่าล้านบาท ในจำนวนคนราว 6 ล้านคน จึงต้องคิดใหม่ว่าที่ผ่านมามีการออกแบบวางระบบผิดหรือไม่ เพราะส่วนของผู้ป่วยในค่าใช้จ่ายไม่ได้บวมมาก ราว 20,000 กว่าล้านบาท ขณะที่ผู้ป่วยนอกไปได้หลายแห่ง ซึ่งควรมองจุดบริการใกล้บ้าน และใกล้ที่ทำงานแล้วล็อก
ขณะที่ประกันสังคมที่เป็นประกันส่วนบุคคลที่จ่ายเงินเอง การเพิ่มสิทธิประโยชน์และบริหารจัดการต้องชัดเจน ไม่ใช่เลียนแบบโครงการสปสช. ซึ่งเงินส่วนกองทุนประกันสังคมที่มองว่าจะล้มเป็นส่วนของการจ่ายบำนาญชราภาพ ไม่ใช่เรื่องค่ารักษาพยาบาล







