‘พยาบาลห้องฟอกไตรุ่นเก่า’ ถูกสภาการพยาบาลปฏิเสธขึ้นทะเบียน

พยาบาลห้องฟอกไตรุ่นเก่า ถูกสภาการพยาบาลปฏิเสธการขึ้นทะเบียน เป็น “พยาบาลเวชปฏิบัติการบำบัดทดแทนไต” คาดมากกว่า 500 คน ผลจากประกาศปี 2563
KEY
POINTS
- พยาบาลห้องฟอกไตรุ่นเก่า ถูกสภาการพยาบาลปฏิเสธการขึ้นทะเบียน เป็น “พยาบาลเวชปฏิบัติการบำบัดทดแทนไต” คาดมากกว่า 500 คน ผลจากประกาศปี 2563
- สภาการพยาบาลระบุอาจเป็นกลุ่มตกหล่น กำลังมีการจัดทำหลักสูตรอบรมเพิ่มเติมให้กลุ่มนี้โดยเฉพาะ เมื่อผ่านการอบรมเพิ่มเติมด้านเวชปฏิบัติการบำบัดทดแทนไตแล้วก็จะขึ้นทะเบียนได้
- กรรมการแพทยสภา ชี้เสี่ยงขัดรัฐธรรมนูญ เหตุตัดสิทธิคนทำงานมาก่อน แนะสภาการพยาบาลเร่งแก้ มีบทเฉพาะการคุ้มครองคนทำงานมาก่อน ไม่ต้องรอศาลสั่ง
จากที่สภาการพยาบาลออกประกาศกำหนดให้พยาบาลวิชาชีพ ที่ปฏิบัติงานห้องฟอกไตต้องขึ้นทะเบียนเป็น “พยาบาลเวชปฏิบัติการบำบัดทดแทนไต” ทำให้พยาบาลรุ่นเก่าที่ผ่านการฝึกอบรมได้รับการรับรองแล้ว และทำงานมาก่อนหน้านี้อย่างต่อเนื่องไม่สามารถปฏิบัติงานได้ ต้องไปเข้ารับการอบรมอีกครั้ง ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูง ทำให้พยาบาลผู้ปฏิบัติหน้าที่มาก่อนประกาศฉบับนี้ไปยื่นร้องต่อศาลปกครอง เนื่องจากถูกปฏิเสธการขึ้นทะเบียนคาดว่าจำนวนมากกว่า 500 ราย
จัดทำหลักสูตรอบรมให้โดยเฉพาะ
รศ.ดร.สุจิตรา เหลืองอมรเลิศ นายกสภาการพยาบาล กล่าวว่า สภาการพยาบาลได้หารือร่วมกับสมาคมพยาบาลโรคไตแห่งประเทศไทยแล้ว ซึ่งสมาคมพยาบาลโรคไตฯ จะเป็นผู้จัดทำหลักสูตรอบรมเพิ่มเติมให้แก่พยาบาลกลุ่มดังกล่าว เมื่อผ่านการอบรมเพิ่มเติมในด้านเวชปฏิบัติการบำบัดทดแทนไตแล้วก็จะขึ้นทะเบียนได้ตามข้อบังคับของสภาฯ ซึ่งระหว่างนี้พยาบาลยังคงปฏิบัติงานได้ตามปกติ เนื่องจากหากเป็นพยาบาลเวชปฏิบัติโรคไตอยู่แล้ว ย่อมสามารถทำงานในห้องฟอกไตได้เหมือนเดิม ยกเว้นไม่ได้เป็นเวชปฏิบัติการบำบัดทดแทนไต
ข้อบังคับสภาการพยาบาลที่ออกมาเกี่ยวกับเรื่องนี้ มีการประกาศเมื่อปี 2563 และได้ดำเนินการให้พยาบาลที่ผ่านการอบรมหลักสูตรเก่า และกำลังปฏิบัติงานอยู่นั้น ได้เข้ามาอบรมสาขาเวชปฏิบัติฯเกี่ยวกับโรคไตเพิ่มเติม เพื่อปรับเป็น “พยาบาลเวชปฏิบัติการบำบัดทดแทนไต(การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม)” ตามข้อบังคับดังกล่าว
“คาดว่ากลุ่มนี้น่าจะตกค้าง ซึ่งสมาคมฯกำลังจัดทำหลักสูตรเพิ่มเติมให้กลุ่มนี้โดยเฉพาะ โดยต้องเสนอให้สภาการพยาบาลรับรอง ส่วนพยาบาลใหม่ที่ปฏิบัติในงานห้องฟอกไตก็ต้องผ่านการเรียนหลักสูตรเวชปฏิบัติการบำบัดทดแทนไตอยู่แล้ว”
เสี่ยงขัดรัฐธรรมนูญ เหตุตัดสิทธิคนทำงานมาก่อน และ แนะมีบทเฉพาะการคุ้มครอง
ขณะที่ รศ. (พิเศษ) นพ.เมธี วงศ์ศิริสุวรรณ กรรมการแพทย์สภา โพสต์ข้อความแสดงความเห็น ว่า ไม่ทราบเหตุผลที่มาที่ไปของประกาศนี้ แม้จะเชื่อว่าคงมีเหตุผลที่ดี แต่โดยหลักการแล้ว การออกกฎหมายไม่ควรมีผลย้อนหลัง ไปกระทบสิทธิของบุคคลที่ปฏิบัติงานโดยสุจริตอยู่ก่อนแล้ว อันขัดต่อหลักกฎหมายทั่วไป (หลักกฎหมายห้ามมีผลย้อนหลังหรือหลัก Non-retroactivity of Law)
1. หลักความเป็นธรรมและหลักสุจริต : การออกกฎหรือประกาศที่กระทบสิทธิที่ได้มาโดยสุจริตจากการดำเนินการก่อนหน้า โดยไม่ได้คำนึงถึงสถานะหรือเงื่อนไขที่เปลี่ยนแปลงไป อาจถือเป็นการละเมิดหลักความเป็นธรรม (Fairness) และหลักสุจริต (Good faith)
2. หลักกฎหมายห้ามมีผลย้อนหลัง (Non-retroactivity of law) โดยทั่วไป กฎหมายหรือกฎระเบียบที่ออกใหม่จะไม่สามารถนำไปบังคับย้อนหลังให้กระทบสิทธิของผู้ที่ดำเนินการอย่างสุจริตภายใต้กฎหมายเดิมก่อนหน้าได้ ยกเว้นจะมีการบัญญัติไว้อย่างชัดแจ้ง เป็นประโยชน์ต่อผู้ถูกบังคับใช้เท่านั้น (กฎหมายใหม่ต้องไม่ให้โทษย้อนหลัง) เป็นคุณและเป็นความจำเป็นต่อการปกป้องประชาชน มีอำนาจตามกฎหมายในการจำกัดสิทธิและเสรีภาพรองรับการออกประกาศ
3. หลักความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ (Constitutionality) หากการออกประกาศส่งผลให้มีการลิดรอนสิทธิในการประกอบอาชีพหรือวิชาชีพที่เคยได้มาอย่างถูกต้องตามกฎหมายแล้ว ถือว่าอาจขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2560 มาตรา 26 การตรากฎหมายที่มีผลเป็นการจำกัดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ในกรณีที่รัฐธรรมนูญมิได้บัญญัติเงื่อนไขไว้
กฎหมายดังกล่าวต้องไม่ขัดต่อหลักนิติธรรม ไม่เพิ่มภาระหรือจำกัดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลเกินสมควรแก่เหตุ และจะกระทบต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของบุคคลมิได้ รวมทั้งต้องระบุเหตุผลความจำเป็นในการจำกัดสิทธิและเสรีภาพไว้ด้วย กฎหมายตามวรรคหนึ่ง ต้องมีผลใช้บังคับเป็นการทั่วไป ไม่มุ่งหมายให้ใช้บังคับแก่กรณีใดกรณีหนึ่งหรือแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นการเจาะจง
4. การออกคำสั่งทางปกครองที่สร้างขั้นตอนโดยไม่จำเป็น สร้างภาระให้กับประชาชนหรือผู้ได้รับผลกระทบ เลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม อาจถูกเพิกถอนโดยศาลปกครอง และอาจหมายถึงการฟ้องร้องทางแพ่งเรียกค่าเสียหายจากผู้ได้รับผลกระทบตามมาได้
“กฎหมายย้อนหลังต้องไม่ให้โทษแก่ผู้สุจริต , กฎหมายใด ๆ ต้องไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญ , หน่วยงานทางปกครองต้องออกคำสั่งให้เป็นไปตาม มาตรา 9 แห่ง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง”
ทางออกที่ดีที่สุดคือ ไม่ควรต้องรอให้ศาลออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ต้องรีบออกประกาศแก้ไขให้มีบทเฉพาะกาล เพื่อคุ้มครองสิทธิของพยาบาลที่ได้ผ่านการอบรมหลักสูตรและปฏิบัติงานก่อนหน้าที่ประกาศนี้จะมีผลบังคับใช้ เพื่อรักษาความชอบธรรมและคุ้มครองสิทธิที่สุจริตของบุคคลเหล่านี้ โดยหวังว่าจะจบลงด้วยดี และอย่างเร็วที่สุด เพราะจะกระทบต่อผู้ป่วยโรคไตทั่วประเทศ