ย้อน 'คดีทุจริตยา' เชื่อมอดีตรมว.สธ.-คนไข้-แพทย์-ทหาร 

ย้อน 'คดีทุจริตยา' เชื่อมอดีตรมว.สธ.-คนไข้-แพทย์-ทหาร 

คดีทุจริตยาที่เคยเกิดขึ้น ตรวจพบผู้กระทำผิดมีทั้งอดีตรมว.สธ. ผู้ป่วยที่อยู่ในสิทธิบัตรทอง-ข้าราชการ นายทหารหญิง และแพทย์หญิง

KEY

POINTS

  • ปี 2568 ขบวนการทุจริตยารพ.ทหารผ่านศึกษา จับกุมหัวหน้าทีมกระทำความผิดเป็น “พ.อ.หญิง” มี “แม่ทีม” จัดหา “เครือข่ายคน”เข้าไปตรวจ-รับยาปริมาณมาเกินโรคจริง จาก “แพทย์หญิรายหนึ่งที่ร่วมขบวนการ”  นำไปขายต่อ
  • ทุจริตยา ผู้ป่วยสิทธิรักษาพยาบาลทั้งบัตรทอง 30 บาท และสวัสดิการข้าราชการ มีการตรวจสอบพบผู้กระทำผิด ในรูปแบบตระเวณรับยาฟรีจากสถานพยาบาลต่างๆ เพื่อนำไปขายต่อ  
  • 20 กว่าปีก่อน มีคดีทุจริตยา 1400 ล้าน ที่ทำให้รมว.สธ.ในตอนนั้น ถูกศาลตัดสินจำคุก เป็นเวลา 15 ปี จากการมีส่วนเกี่ยวข้องทำให้รพ.ชุมชนต้องซื้อยาราคาแพงกว่าปกติ และรับสินบน 5 ล้านบาทจากบริษัทยาแห่งหนึ่ง

“ทุจริตยา”ที่นำไปสู่การเปิดโปงและดำเนินคดีทางกฎหมายนั้นเกิดขึ้นไม่บ่อย แต่นับว่าสะเทือนสังคมทุกครั้ง เพราะล้วนเชื่อมโยงกับ “การรักษาพยาบาลหรือช่วยเหลือคน” ที่ไม่ควรจะมีการฉ้อโกง ฉกฉวยผลประโยชน์
“กรุงเทพธุรกิจ” ย้อนคดีเกี่ยวข้องกับการทุจริตยาที่เคยเกิดขึ้น ซึ่งผู้กระทำความผิดเป็นอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(รมว.สธ.) คนไข้ในสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือบัตรทอง  30 บาท และสิทธิสวัสดิการข้าราชการ และทหาร แพทย์รายหนึ่งของรพ.ทหารผ่านศึกด้วย 

ขบวนการทุจริตยารพ.ทหารผ่านศึก

คดีล่าสุด มีการจับกุมผู้ต้องหาเมื่อปลายเดือนมี.ค.2568 ซึ่งเป็นผลจากการที่องค์การทหารผ่านศึก ร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน บก.ปปป. ให้ดำเนินการคดีกับขบวนการทุจริตยาของโรงพยาบาลทหารผ่านศึก เพื่อนำไปขายต่อให้กับบุคคลภายนอก หลังพบว่ามีการทุจริตมาตั้งแต่ปี 2561จนถึงปัจจุบัน 

ดำเนินการเป็น “ขบวนการ”  โดยมี “พ.อ.หญิง” รายหนึ่งเป็นหัวหน้าในการวางแผนให้ “แม่ทีม” จัดหา”เครือข่ายบุคคล”ตรวจรักษากับ “แพทย์หญิงรายหนึ่งของรพ.ทหารผ่านศึกษาที่อยู่ในขบวนการ”  โดยแพทย์รายนี้สั่งจ่ายยาเกินจากโรคที่เป็นจริง

จากนั้นก็มีการรวบรวมยาทั้งหมดที่ได้นำไปขายให้เอเย่นต์ ก่อนนำไปขายต่อให้ร้านยา ซึ่งทีมเครือข่ายได้รับค่าจ้าง 10% ของค่ายา ส่วนแม่ทีมจะได้ค่าจ้างรายหัวรายละ 1,500 บาท
ทั้งนี้ ความเสียหายจาก การทุจริตจากขบวนการนี้ เบื้องต้นมีการประเมินมูลค่าความเสียหายอยู่ที่ 80 ล้านบาท

ผู้ป่วยวนรับยาฟรีไปขาย

อีกรูปแบบของการทุจริตยา คือ การที่ผู้ป่วยซึ่งอยู่ในสิทธิรักษาฟรีนั้น ตระเวณเข้ารับยาในสถานพยาบาลต่างๆหลายแห่งหลายครั้ง เพื่อนำยานั้นมาขายต่อ

อย่างเช่นช่วง ปลายปี 2567 เกิดการกระทำความผิดของผู้อยู่ในสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือบัตรทอง 30 บาท  ซึ่งสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ทำการตรวจสอบในปี 2567 พบความผิดปกติและน่าสงสัยในการเบิกจ่ายยาของผู้ป่วยจำนวน 3 ราย

  • รายแรกได้มีการเบิกจ่ายยารักษาโรคภูมิแพ้ไปทั้งสิ้นจำนวน 318 ขวด จากการเข้ารับบริการจำนวน 118 ครั้ง ในโรงพยาบาล 31 แห่ง
  • รายที่สองได้มีการเบิกจ่ายยาไปทั้งสิ้นจำนวน 147 ขวด จากการเข้ารับบริการจำนวน 98 ครั้ง ในโรงพยาบาล 14 แห่ง
  • รายที่สามล่าสุดได้เบิกจ่ายยาเพื่อรักษาโรคหอบหืด จากการเข้ารับบริการที่แผนกฉุกเฉินเป็นหลัก รวมยาที่เบิกทั้งสิ้นจำนวน 102 ขวด

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ทาง สปสช. ดำเนินการเอาผิดทางกฎหมาย โดยมีการแจ้งความและให้มีการดำเนินคดีจนถึงที่สุด ฐานความผิดฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341     

นอกจากนี้ ช่วงปี 2559  กรมบัญชีกลางได้ดำเนินการตรวจสอบข้อมูลการใช้สิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลในระบบเบิกจ่ายตรงของข้าราชการและบุคคลในครอบครัว พบว่า ข้าราชการและครอบครัว 11 ราย มีพฤติกรรมการใช้สิทธิเบิกจ่ายตรงค่ารักษาพยาบาลส่อไปในทางทุจริต

โดยสมัครขอใช้สิทธิเบิกจ่ายตรงไว้หลายรพ.และตระเวนไปใช้บริการเพื่อขอรับยาด้วยโรคเดียวกัน ในเวลาที่ใกล้เคียงกัน  จึงตรวจพบข้อมูลการเบิกจ่ายค่ายาสูงกว่าในปีก่อน  จากปีงบประมาณ  2556 เบิกจ่ายค่ายา 58,981 บาท แต่ในปีงบประมาณ 2557 เบิกจ่ายค่ายา 527,893 บาท เป็นต้น

ทุจริตยา อดีตรมว.สธ.ติดคุก

คดีทุจริตยาที่นับเป็นคดีประวัติศาสตร์คดีหนึ่ง เพราะผู้กระทำความผิดและติดคุกนั้นเป็น “รมว.สธ.” มีการระบุถึงมูลค่าความเสียหายอยู่ที่ 1400 ล้านบาท

เกิดขึ้นจากที่นายรักเกียรติ สุขธนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(รมว.สธ.)ในเวลานั้น ได้มีการลงนาม “ยกเลิกราคากลางยา” ส่งผลให้รพ.ชุมชนทั่วประเทศต้องซื้อยาและเวชภัณฑ์ในราคาที่แพงกว่าปกติ 50-300 % 
โดยปลายปี 2541 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ (ป.ป.ป.) เข้ามาสอบสวนและแถลงผล พบการทุจริตจัดซื้อยาเกือบ 20 จังหวัดทั่วประเทศอาศัยช่องว่างจากการยกเลิกราคากลางของยา ชี้แนะชักชวนและสั่งการให้ข้าราชการในพื้นที่สั่งซื้อยาและเวชภัณฑ์ในราคาที่แพงกว่าที่เคยจัดซื้อ

ปลายปี 2544 คณะอนุกรรมการสอบสวนของ ป.ป.ช. ตรวจสอบพบหลักฐานที่น่าเชื่อถือได้ว่า เดือนสิงหาคม2541 ได้มีการโอนเงินจากผู้บริหารของบริษัทนำเข้ายาและเวชภัณฑ์ชื่อดังแห่งหนึ่ง ไปยังนายรักเกียรติ จำนวน 5 ล้านบาท

ป.ป.ช. ได้สรุปส่งเรื่องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนต่อเพื่อดำเนินคดีอาญา ต่อมาอัยการสูงสุดยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในกรณีร่ำรวยผิดปรกติ และคดีทุจริตเรียกรับสินบน

ช่วงปลายปี 2546 ศาลพิพากษาตัดสินให้นายรักเกียรติ จำคุกเป็นเวลา 15 ปี ยึดทรัพย์สิน จำนวน 233.88 ล้านบาท ในฐานความผิด รับสินบนจำนวน 5 ล้านบาท จากบริษัทยา แต่มีการหลบหนีก่อนถูกจับกุมตัวได้ที่จ.นนทบุรี เมื่อวันที่ 30 ต.ค.2547 หลังหลบหนีเป็นเวลากว่า 1 ปี
หลังจำคุกได้ 5 ปี เป็นจำนวน 1 ใน 3 ของโทษจำ  ก็ถูกพักโทษ นายรักเกียรติได้บวช ก่อนลาสิกขา และได้เสียชีวิตเมื่อปี 2562 ในวัย 65 ปี