สธ.คลอด 7 ข้อแก้ปัญหา 'แพทย์ลาออก' ย้ำยังไม่ใช่แนวทางดีที่สุด

สธ.คลอด 7 ข้อแก้ปัญหา 'แพทย์ลาออก' ย้ำยังไม่ใช่แนวทางดีที่สุด

สธ. ย้ำแนวทางดีสุด แก้ปัญหา “แพทย์ลาออก” แยกสธ.ออกจากก.พ. แต่ต้องใช้เวลาราว 2 ปี ไม่มั่นใจทันปี 68 เร่งคลอด 7 ข้อแก้ปัญหาก่อน 

เมื่อวันที่ 18 เม.ย. 2568 ที่กระทรวงสาธารณสุข นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข แถลงข่าวภายหลัง การประชุมแนวทางแก้ไขปัญหาหมอลาออกและขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขในทุกวิชาชีพ ว่า การแก้ปัญหาการขาดแคลนบุคคลากรที่ดีที่สุด ซึ่งที่ประชุมได้พูดคุยกัน คือการผลักดันพ.ร.บ.กระทรวงสาธารณสุข (กสธ.) เนื่องจากจะทำให้การบรรจุเป็นข้าราชการ การแต่งตั้ง เงินเดือน และสวัสดิการของบุคลากรทั้งหมด สามารถทำได้โดยกระทรวงสาธารณสุข(สธ.)  ทว่า การผลักดันกฎหมายนี้น่าจะใช้เวลาประมาณ 2 ปี

ดังนั้น การแก้ปัญหาในระยะนี้ จากการหารือ มีแนวทางการแก้ไขปัญหา 7 ขั้นตอนคือ 1. กำหนดพื้นที่พิเศษเพิ่มสิทธิประโยชน์ ลดระยะเวลาการใช้ทุนในการไปศึกษาต่อ จากเดิมที่ต้องใช้ทุน 3 ปีก็จะเหลือ 2 ปี หลังจากนั้นก็สามารถไปศึกษาต่อได้โดยไม่จำเป็นต้องลา โดยเตรียมประกาศให้จังหวัดบึงกาฬ  แม่ฮ่องสอน และอาจจะเพิ่มพื้นที่จังหวัดตาก เป็นพื้นที่พิเศษ

2. เพิ่มแพทย์เพิ่มพูนทักษะ ทั้งแบบฝึกเองและแบบร่วมฝึกเพื่อให้มีอัตราส่วนแพทย์ต่อประชากรไม่เกินจำนวน ตามที่มีการคำนวณอยู่ตลอดเวลา

3. ขอรับการสนับสนุนแพทย์เฉพาะทางจากจังหวัดใกล้เคียง

4. เสริมระบบบริการด้วยดิจิตอลและทเลเมดิซีน โดยขอให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) สนับสนุนให้มีเทเลเมดดิซินเพิ่มขึ้นและรวดเร็ว

 5. กำหนดตำแหน่งราชการรองรับแพทย์ที่จบจากมหาวิทยาลัยเอกชน และมหาวิทยาลัยในต่างประเทศที่มีการรับรองปริญญาบัตรที่ทัดเทียมกับประเทศไทย ทั้งนี้ ในกรณีปกติที่ไม่เพียงพอ 6. พิจารณาเพิ่มค่าตอบแทนนอกเวลาราชการหรือโอที อัตราเท่าครึ่งหรือ 2 เท่า หรือมากกว่านี้ ตามเหตุตามผลที่สามารถดำเนินการได้

 และ 7. ส่งเสริมสวัสดิการ เช่น บ้านพัก การเดินทางและรับ - ส่งอย่างเหมาะสม

เมื่อถามถึงแนวทางการลดภาระงานของบุคลากรทางการแพทย์ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ตั้งเป้าจะลดให้ได้ 30% แต่ก็ต้องใช้เวลาพอสมควร โดยตนขอ 2 ปี คือผลจากการรณรงค์ลดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือโรคNCDs ที่ให้อสม.ช่วยลดคาร์บ เพราะมีข้อมูลว่าคนเข้าโรงพยาบาล 300 กว่าล้านครั้ง ซึ่งเป็นNCDs 30% เท่ากับว่าจะลดความแออัดในส่วนนี้  รวมถึงมาตรการเทเลเมดิซีนก็จะช่วยลดความแอดอัดในโรงพยาบาลได้ด้วย

“การผลักดันพ.ร.บ.กสธ. ขณะนี้เรื่องอยู่ที่คณะกรรมการกลั่นกรองที่มีรองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน หากผ่านชุดนี้แล้วถึงจะเข้าครม. ส่วนการขอความคิดเห็นจากหน่วยงานต่างๆ นั้น ยังไม่ได้รับการสอบถามกลับมา ส่วนจะทันในปี 2568 หรือไม่ก็ไม่ทราบ  เพราะอยู่นอกเหนือจากอำนาจหน้าที่ของรมว.สาธารณสุข”

เมื่อถามว่าปัจจุบันเด็ก ในพื้นที่ไม่ค่อยเรียนแพทย์ในโครงการผลิตแพทย์เพิ่มเพื่อชาวชนบทหรือซีเพิร์ต เพื่อไปอยู่ในชนบทและส่วนใหญ่เรียนแพทย์ผ่านโครงการของกลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย(กสพท.)  นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ไม่ใช่ไม่เรียน แต่เรียนไม่ไหว ก็จะใช้วิธีจังหวัดที่อยู่ใกล้เคียงหากมีคนเรียนเก่งอยากเรียนแพทย์ 10 คน แต่มีโควต้าจังหวัดนั้น 7 คน ก็จะนำอีก 3 คนที่เหลือไปไว้ในจังหวัดที่คนสอบไม่ค่อยผ่าน

ถามว่าค่าตอบแทนพิเศษในพื้นที่พิเศษ ใช้เงินบำรุงรพ.หรือของบประมาณเพิ่มเติม นพ.ภูวเดช สุระโชติ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ส่วนหนึ่งจะใช้จากงบประมาณ ถ้าเป็นเบี้ยเลี้ยงจะมีงบประมาณจัดสรรให้บางส่วนและจะพิจารณาว่า ถ้าเป็นพื้นที่พิเศษจะให้สัดส่วนมากกว่าพื้นที่ปกติทั่วไป

ส่วนที่ 2 จะเติมจากเงินบำรุงรพ. ซึ่งการบริหารจัดการภาพรวมของจังหวัด เป็นลักษณะเงินกองกลางและเติมให้กับส่วนที่ขาดหรือไม่เพียงพอ นำไปใช้ในการบริหารจัดการภายในจังหวัด และระดับเขต ที่จะเติมเต็มให้แบบข้ามจังหวัดได้ ส่วนสธ.จะพยายามหาเงินสนับสนุน ให้กับส่วนที่ขาดแคลนและไม่เพียงพอต่อไป 

เมื่อถามต่อถึงการเพิ่มโอที ให้กับทุกพื้นที่หรือไม่และจะหางบประมาณจากไหน นพ.ภูวเดช กล่าวว่า นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดบึงกาฬมีการนำเสนอ วิชาชีพ แพทย์เพียงวิชาเดียว ซึ่งแต่ละคนก็มีความแตกต่างกันแต่คณะทำงานที่จะแก้ไขเรื่องเหล่านี้ก็จะไปดูจังหวัดรอบข้างด้วย

หากจังหวัดบึงกาฬรายรับรวม แต่ละเดือนยังได้น้อยกว่าจังหวัดรอบข้างเราก็จะพิจารณาปรับค่าตอบแทนค่านอกเวลาซึ่งตามระเบียบ สามารถปรับได้สูงสุด ถึง 3 เท่าในกลุ่มแพทย์ที่มีภาระงานสูง เช่น แพทย์ห้องฉุกเฉิน และแพทย์ ICU ได้รับในอัตรา 3 เท่า

“แพทย์ที่อยู่ในพื้นที่ขาดแคลนและมีชั่วโมงการปฏิบัติงานสูงก็จะมีชดเชย เพิ่มค่าโอที ซึ่งงบที่จะนำไปจัดสรรตนอธิบายไปข้างต้นแล้ว อย่างไรก็ตาม ในส่วนของรายรับที่โรงพยาบาลพึงได้นั้นหากผู้กองทุนแต่เราเต็มเม็ดเต็มหน่วยคิดว่าภาระตรงนี้เราสามารถจัดการได้”

ถามว่าแนวทางแก้ปัญหา 7 ข้อจะใช้ในพื้นที่พิเศษหรือภาพรวม ของแพทย์ทุกพื้นที่ที่ นพ.ภูวเดช กล่าวว่า เป็นแนวทางตั้งต้น ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องมีเกณฑ์ว่าเป็นพื้นที่ขาดแคลนจริง เพราะหากไปดำเนินการในพื้นที่อื่นๆให้เพิ่มขึ้นด้วย ก็จะเกิดปัญหาการไหลของแพทย์ไปสู่พื้นที่นั้นอีก จึงต้องมีกรอบที่กำหนดไว้

ที่ผ่านมา เรื่องการพิจารณาถ้ามากกว่า 1 เท่าไม่เกิน 2 เท่าก็จะมีคณะกรรมการระดับจังหวัดที่มีนายแพทย์สาธารณสุขเป็นประธาน ถ้ามากกว่า 2 เท่าแต่ไม่เกิน 3 เท่าจะเป็นคณะกรรมการระดับเขต ส่วนทั้ง 8 โรงพยาบาลในบึงกาฬหากจำเป็นต้องเพิ่มก็ต้องผ่านคณะกรรมการกลั่นกรอง พิจารณาตามความเหมาะสม